22 เคล็ดลับการทำ Content Marketing (พิสูจน์แล้วว่าได้ผลจริง)

  • 17 June 2022

ต้องการปริมาณการใช้งาน ผู้ใช้ และยอดขายเพิ่มขึ้นในปี 2022 หรือไม่

เคล็ดลับการทำ Content Marketing ในบทความนี้ช่วยคุณได้

รวมกลยุทธ์พื้นฐานที่ทุกคนควรใช้ และเทคนิคขั้นสูงที่คุณอาจไม่เคยเห็นมาก่อน

อ่านต่อกันเลย

สารบัญ

1. ค้นหาเนื้อหาที่ยอดเยี่ยมของคุณ

2. การทำ Content Marketing Funnels

3. เติมเชื้อเพลิงให้กองไฟด้วยการโฆษณา

4. ใช้การอธิบายที่น่าสนใจบนโซเชียลมีเดีย

5. สำหรับ SEO ให้คุณเน้นที่ จุดประสงค์ในการค้นหา

6. สร้างเนื้อหาที่เต็มไปด้วยข้อมูล

7. ถ้าเป็นรายงานประจำปี ให้ใช้ URL เดิม

8. ตั้งเป้าหมายที่ชาญฉลาด

9. วางแผนการทำงานในปฏิทิน

10. ขยายช่องทางการตลาด

11. ประหยัดเวลาด้วยเครื่องมือเหล่านี้

12. ควรให้ความรู้และอย่าเน้นการขาย

13. ให้ทุกโพสต์ควรมี 3 หัวข้อที่แตกต่างกัน

14. โพสต์สรุปเนื้อหาบน Reddit

15. เข้าถึงกลุ่มลูกค้าด้วย Community

16. เน้นที่ความเกี่ยวข้องมากกว่าปริมาณ

17. คิด 10 หัวข้อสำหรับเนื้อหาแต่ละโพ้ส

18. สร้างเครื่องมือฟรี

19. เผยแพร่เนื้อหาที่ดีกว่า 10x

20. การแจกของฟรีแบบไวรัล

21. นำเนื้อหาของคุณกลับมาใช้ใหม่

22. เขียนโดยใช้หลักการ “F-Shaped”

1. ค้นหาเนื้อหาที่ยอดเยี่ยมของคุณ

หากคุณมีเนื้อหาเก่าในเว็บไซต์ของคุณ นั่นแสดงว่า คุณอาจนั่งอยู่บนเหมืองทองคำ

เนื้อหาเท่าเดิม เมื่อเวลาผ่านไป จะทำให้มีการเข้าชมน้อยลงเรื่อยๆ แต่ด้วยการปรับแต่งเล็กน้อย ก็สามารถทำให้มีการเข้าชมเพิ่มขึ้นได้

สิ่งที่ยากคือ การค้นหาเนื้อหาที่ต้องการนำมาปรับปรุงใหม่

โชคดีที่มีเคล็ดลับง่ายๆ ที่คุณทำได้

ให้คุณดูว่ามีบทความหรือโพ้สในบนเว็บไซต์ของคุณ ที่มีจำนวนการเข้าชมลดลงจากเดิม

คุณสามารถดูได้จาก Google Analytics ของคุณเพื่อค้นหาว่า บทความใดมีการเข้าชมน้อยกว่าที่เคยเป็นมา

เมื่อคุณเจอบทความดังกล่าวแล้ว ก็ปรับปรุงให้ดีขึ้นได้เลย

ยกตัวอย่างเช่น :

  • อัพเดทวันที่ หรือข้อมูลเกี่ยวกับช่วงเวลา
  • เพิ่มเติมหรือแก้ไขบทนำ
  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเนื้อหานั้นยังคงถูกต้องและเป็นปัจจุบัน

หลังจากอัพเดทบทความแล้ว คุณสามารถโปรโมตบทความนั้นอีกครั้งในรายชื่ออีเมล์และผู้ติดตามโซเชียลมีเดียของคุณได้เลย

2. การทำ Content Marketing Funnels

ในการเปลี่ยนเนื้อหาของคุณให้เป็นผลลัพธ์ทางธุรกิจที่แท้จริง คุณต้องมีสิ่งที่เรียกว่า Content Marketing Funnels

กล่าวคือ เนื้อหาของคุณต้องมีความสัมพันธ์กัน เพื่อ :

  1. ดึงดูดผู้เข้าชม
  2. เปลี่ยนผู้เยี่ยมชมเหล่านั้นให้กลายเป็นสมาชิก ผู้ใช้ หรือลูกค้าเป้าหมาย
  3. แล้วขายสินค้าหรือบริการของคุณให้กลุ่มเป้าหมาย

คุณสามารถทำได้โดยใช้กลยุทธ์ AIDA

การรับรู้ >> ความสนใจ >> ความต้องการ >> การดำเนินการ หรือ การตัดสินใจซื้อ

การทำ Content Marketing Funnel

ต่อไปนี้คือตัวอย่างพื้นฐานของการทำ Content Marketing Funnels

  • โพ้สเรื่องราวลง Instagram พร้อมเคล็ดลับการทำอาหาร โดยมีลิงค์ เพื่อให้เข้าไปดูสูตรอาหารได้
  • จากนั้นหน้า Landing Page ของสูตรอาหารก็จะมีแบบฟอร์มการสมัครโดยใช้อีเมล์
  • สุดท้าย เป็นการส่งอีเมล์เคล็ดลับต่างๆ และขายหลักสูตรการทำอาหารให้กับสมาชิก

สังเกตว่าเนื้อหาแต่ละส่วนนำไปสู่ส่วนถัดไปอย่างไร จนกระทั่งทำการขายได้ในที่สุด

การทำ Content Marketing Funnels ที่รอบคอบเป็นรากฐานที่สำคัญของกลยุทธ์การตลาดที่ประสบความสำเร็จ

3. เติมเชื้อเพลิงให้กองไฟด้วยการโฆษณา

เมื่อคุณทำ Content Marketing Funnels ที่ดีแล้ว คุณสามารถทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้ด้วยการลงโฆษณา

มีสองวิธีที่ได้ผลดี

วิธีแรกคือการดึงดูดผู้คนให้มาอยู่ด้านบนสุดของ Marketing Funnels ของคุณ

นั่นคือสิ่งที่ HubSpot กำลังทำโดยโฆษณาบน Facebook

เมื่อมีคนคลิกที่โฆษณานั้น ก็จะไปที่หน้านี้เพื่อ ดาวน์โหลดไฟล์ PDF ฟรี

และหากต้องการดาวน์โหลด ก็ต้องลงชื่อสมัครโดยใช้อีเมล์

นั่นคือตัวอย่างการใช้โฆษณาเพื่อนำผู้คนมาที่ด้านบนสุดของ Marketing Funnels มากขึ้น

ง่าย มาก!

อีกวิธีหนึ่งในการใช้โฆษณากับการตลาดของคุณ คือ ที่ด้านล่างของ Marketing Funnels

โดยเฉพาะ การกำหนดเป้าหมายใหม่

ด้วยการกำหนดเป้าหมายใหม่ คุณสามารถเข้าถึงผู้ที่เกือบจะพร้อมจะซื้อแล้ว แต่ยังไม่ตัดสินใจซื้อ

บ่อยครั้งที่คุณต้องทำคือ เพียงแค่กระตุ้นเล็กน้อย ในกรณีนี้ คุณอาจจะมี ข้อเสนอส่วนลดหรือโบนัส หรือทดลองใช้งานฟรี

เพราะในบางครั้งกลุ่มเป้าหมาย อาจต้องการความมั่นใจมากกว่านี้อีกเล็กน้อย ในกรณีนั้น คุณอาจต้องชี้ให้เห็น ถึงกรณีศึกษาที่ยอดเยี่ยม หรือเรื่องราวความสำเร็จของลูกค้า

เคล็ดลับ : หากต้องการดูคู่แข่งที่ลงโฆษณาใน Facebook ให้ดูที่ คลังโฆษณาของ Facebook แล้วพิมพ์ชื่อแบรนด์ของคู่แข่ง

4. ใช้การอธิบายที่น่าสนใจบนโซเชียลมีเดีย

น่าแปลกใจที่ธุรกิจจำนวนมากแชร์เนื้อหาด้วยคำอธิบายที่เรียบง่ายและน่าเบื่อ

เช่น

“วิดีโอใหม่ของเราพูดถึงความแตกต่างระหว่างผลิตภัณฑ์ A และผลิตภัณฑ์ B ลองดูที่นี่”

มันดูไม่น่าสนใจ

นั่นอาจเป็นวิธีที่เร็วที่สุดในการแชร์เนื้อหาของคุณ แต่เป็นการยากที่จะทำให้ผู้คนสนใจ

ครั้งต่อไปที่คุณแชร์เนื้อหาชิ้นใหม่ ให้ลองสละเวลาสักสองสามนาทีเพื่อเขียนคำอธิบายในโพสต์ของคุณ

วิธีการคือ เพียงแค่นำส่วนที่สำคัญในเนื้อหาต้นฉบับและนำมาใส่ไว้ในโพสต์โซเชียลมีเดียของคุณ ด้วยวิธีนี้ คนที่ไม่ได้คลิกไปยังเนื้อหาหรือเว็บไซต์ก็จะยังคงได้รับคุณค่าจากโพสต์โซเชียลของคุณ

ซึ่งจะทำให้เกิดการแสดงความคิดเห็นและแชร์โพสต์นั้นๆ

มาดูตัวอย่างกัน

โพ้สสองอันนี้อันไหนที่คุณจะรีทวีตมากกว่า

อันนี้ซึ่งมีเพียงแค่คำอธิบายเกี่ยวกับบทความที่ลิงค์ไปเท่านั้น :

หรืออันนี้ซึ่งกล่าวถึงประเด็นสำคัญจากบทความนั้นด้วย :

เห็นได้ชัดว่าการกล่าวถึงประเด็นสำคัญจากบทความจะได้ผลที่ดีกว่า

ซึ่งการโพ้สลักษณะนี้มักนำไปสู่การมีส่วนร่วมที่มากกว่า เทียบกับโพสต์โซเชียลที่อธิบายแบบเรียบง่าย

และไม่จำเป็นต้องเป็นข้อความเท่านั้น

ตัวอย่างเช่น ตัดตอนมา จากวิดีโอสัมภาษณ์โดย Nathan Barry เป็นคลิปวีดีโอที่มีความน่าสนใจแม้จะเป็นแค่ตัวอย่างคลิปสั้นๆ แต่มันทำให้คุณต้องการไปชมวิดีโอตัวเต็ม

เมื่อคุณเริ่มใช้การอธิบายที่น่าสนใจบนโซเชียลมีเดีย คุณจะไม่กลับไปแชร์เนื้อหาที่มีคำอธิบายแบบธรรมดาอีกเลย

5. สำหรับ SEO ให้คุณเน้นที่ จุดประสงค์ในการค้นหา

คุณต้องนึกถึง “จุดประสงค์ที่แท้จริงในการค้นหา” เป็นเหตุผลที่ผู้คนค้นหา Google ด้วยคีย์เวิร์ดต่างๆ

มันคือคำตอบของคำถาม:

สิ่งที่ผู้คนกำลังมองหาจริงๆ?

ความตั้งใจของผู้ใช้ ส่งผลต่อการจัดอันดับ SEO มากกว่าที่เคยเป็นมา อันที่จริง ตอนนี้ Google กล่าว ว่าเจตนาในการทำความเข้าใจคือ “ส่วนสำคัญของการค้นหา”

บางครั้งจุดประสงค์ในการค้นหาก็ชัดเจน เช่นเดียวกับคีย์เวิร์ดนี้ “การเป็นสมาชิก Amazon Prime” : คุณรู้ว่าคนค้นหาต้องการอะไรและต้องการดูอะไร

แต่ว่าคีย์เวิร์ดแบบนี้ “ร้านอาหารที่ดีที่สุดในกรุงเทพ”

คนที่กำลังค้นหาคีย์เวิร์ดนี้ใน Google นั้นอาจจะกำลังต้องการดูหน้าร้านของร้านอาหารแต่ละแห่งหรือไม่ หรือกำลังหาร้านอาหารที่มีชื่อเสียง? หรืออาจจะต้องการดูรายชื่อร้านอาหารต่างๆ ก็เป็นได้

หากคุณต้องการให้เนื้อหาของคุณอยู่ในอันดับที่ดีสำหรับคีย์เวิร์ดนั้น คุณต้องรู้คำตอบของคำถามเหล่านั้น

โชคดีที่สิ่งที่คุณต้องทำคือ เพียงแค่ค้นหาใน Google ด้วยคีย์เวิร์ดดังกล่าว

นี่คือหน้าผลการค้นหา:

ค้นหา ร้านอาหารที่ดีที่สุดในกรุงเทพ

เพียงแค่ดูที่หน้าแรกใน Google คุณก็จะรู้ว่าเนื้อหาประเภทใดที่ Google คิดว่าผู้คนต้องการสำหรับคีย์เวิร์ดนั้นมากที่สุด

ถ้าสังเกตดูจะเห็นว่า Google นำบทความเหล่านี้ขึ้นมาก

  • ข้อมูลร้านอาหารที่ดีที่สุดอย่างน้อย 10 ร้าน
  • และมีรีวิวสั้นๆ หรือคำอธิบายของแต่ละร้าน (ซึ่งดูได้ถ้าคลิกเข้าไปดูในแต่ละบทความ)
  • มีรูปภาพประกอบของแต่ละร้านจำนวนมาก

หากคุณเขียนเนื้อหาที่คล้ายกัน แต่จะต้องไม่ไป Copy บทความอื่นๆ แต่ควรจะรวบรวมร้านอาหารเหล่านี้ไว้ด้วย

และนี่ก็คือการดูจุดประสงค์ในการค้นหาแบบง่ายๆ

6. สร้างเนื้อหาที่เต็มไปด้วยข้อมูล

“เนื้อหาที่เต็มไปด้วยข้อมูล” โดยทั่วไปหมายถึงการศึกษาหรืองานวิจัยที่เป็นต้นฉบับ ที่คุณรวบรวมไว้เพื่อเป็นการสรุปผล

และเนื้อหาประเภทนี้เป็นแม่เหล็กดึงดูดแบ็กลิงค์ได้เป็นอย่างดี

ขอยกตัวอย่างเว็บนี้ให้พอเห็นภาพ

นอกเหนือจากหน้าแรกแล้ว หน้าเว็บที่มีแบ็กลิงค์มากที่สุดสามอันดับแรก ของ GrowthBadger นั้นเป็นเนื้อหาที่เต็มไปด้วยข้อมูลทั้งนั้น :

แบ็กลิงค์ ของ GrowthBadger

การสร้างการศึกษาและวิจัยเหล่านี้ทำให้ได้รับลิงก์จากเว็บไซต์ใหญ่ๆ เช่น Forbes, Mashable, Crunchbase และ Moz

เหตุใดเนื้อหาที่เต็มไปด้วยข้อมูลจึงได้ผลลัพธ์ที่ดี

นักข่าวต้องการตัวเลขเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับบทความของตนเอง

นักเขียนบล็อกชอบข้อมูลเชิงลึกที่มีงานวิจัยใหม่ๆ รองรับ

และใครล่ะ ที่ไม่ชอบการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ?

ตามที่ John Mueller ของ Google ได้กล่าวไว้ แม้แต่ แบ็กลิงค์เพียงลิงค์เดียว จากแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องและเชื่อถือได้ก็สามารถสร้างความแตกต่างได้อย่างมาก ซึ่งมากกว่าลิงค์ที่ไม่มีคุณภาพจำนวนมาก

ต่อไปนี้เป็นสามวิธีที่คุณสามารถสร้างเนื้อหาที่เต็มไปด้วยข้อมูล

1. ทำการสำรวจขึ้นมาใหม่  

จากตัวอย่างที่กล่าวมา นี่คือวิธีรวบรวม การศึกษาจากบล็อก ซึ่งทำให้มีแบ็กลิงค์มากกว่า 650 ลิงก์ นอกจากนี้ยังเป็นวิธีที่ Tradeoffs ใช้เพื่อวัดความพึงพอใจของลูกค้าของผลิตภัณฑ์ SaaS ต่างๆ โดยการให้ข้อมูลเชิงลึกในโพ้สบทความของคุณ

2. ใช้ข้อมูลที่มีอยู่แล้ว  

ธุรกิจบางแห่งสร้างข้อมูลที่น่าสนใจทุกประเภทอยู่แล้ว ในกรณีนี้ สิ่งที่คุณต้องทำคือนำไปเผยแพร่ ซึ่งนั่นก็คือสิ่งที่ Ahrefs ทำกับ งานชิ้นนี้ เป็นต้น

แต่อีกแนวทางหนึ่งก็คือ มีข้อมูลสาธารณะมากมายที่รอการนำไปรวบรวมเป็นเนื้อหาดีๆ เช่นเดียวกับ รายงาน เกี่ยวกับนิสัยการนอนของนักเขียนชื่อดัง เมื่อเปรียบเทียบกับผลงานที่พวกเขาตีพิมพ์ หรือกรณีศึกษาชิ้นนี้ ซึ่งเกี่ยวกับ แหล่งที่มาของการเข้าชมเว็บไซต์ เป็นต้น

3. สร้างการทดลอง(ทดสอบ)ขึ้นมาเอง  

การทำการทดสอบไม่จำเป็นต้องซับซ้อน

นี่คือสิ่งที่ Neville Medhora ทำ โดยการทดลองเกี่ยวกับการเลือก รูปโปรไฟล์ ที่เหมาะสม

7. ถ้าเป็นรายงานประจำปี ให้ใช้ URL เดิม

นี่เป็นปริศนา

หาก รายงาน HubSpot นี้มาจากปี 2021…

รายงาน HubSpot

…แล้วทำไมมันถึงมีลิงก์นับหมื่นจากปี 2020, 2019 และก่อนหน้านั้น?

ตอบ:

เนื่องจาก HubSpot ใช้ URL เดิม สำหรับรายงานใหม่ในแต่ละปี

ด้วยเทคนิคนี้ รายงานการตลาดปี 2021 ของ HubSpot มีแบ็กลิงค์ 34,700 ลิงก์จากเว็บไซต์ต่างๆ มากกว่า 7,000 โดเมน

รายงานการตลาดปี 2021 ของ HubSpot มีแบ็กลิงค์ 34,700 ลิงก์จากเว็บไซต์ต่างๆ มากกว่า 7,000 โดเมน

ลองมาเปรียบเทียบกันกับการใช้ URL ที่แตกต่างกันสำหรับรายงานประจำปีในแต่ละปี

ซึ่งก็เป็นวิธีที่ Stack Overflow เผยแพร่การสำรวจนักพัฒนาประจำปีนั่นเอง

Stack Overflow เผยแพร่การสำรวจนักพัฒนาประจำปี

ตัวอย่างเช่น การสำรวจนักพัฒนา Stack Overflow 2021 Insights.stackoverflow.com/survey/2021

การสำรวจสำหรับนักพัฒนาปี 2015 ก็เป็น URL อื่น Insights.stackoverflow.com/survey/2015

เป็นผลให้ Stack Overflow ได้รับแบ็กลิงค์ 3,640 ลิงค์ ที่ชี้ไปที่รายงานปี 2021 เท่านั้น (ยังคงเป็นตัวเลขที่น่าประทับใจ แต่ไม่ถึง 10% ของลิงก์ที่เป็นรายงานการตลาดของ HubSpot)

Stack Overflow ได้รับแบ็กลิงค์ 3,640 ลิงค์ ที่ชี้ไปที่รายงานปี 2021 เท่านั้น

สิ่งนั้นคือ:

Stack Overflow มีรายงานการสำรวจนักพัฒนา ทุกปีจนถึงปี 2015

โดยรวมแล้ว มีแบ็กลิงค์มากกว่า 80,000 ลิงค์ที่ชี้ไปยังรายงานที่เก่ากว่านั่นเอง

แต่ถ้ามีการใช้ URL เดียวกันในแต่ละปี จะทำให้ URL นั้นๆ ได้รับแบ็กลิงค์มหาศาล ซึ่งจะทำให้หน้าเว็บนั้นๆ ถูกค้นหาเจอและมีคนเข้าชมจำนวนมากขึ้นด้วย

ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาอื่นที่ Stack Overflow ต้องเจอ คือ รายงานอันเก่ามีอันดับสูงกว่ารายงานใหม่ล่าสุด สำหรับคีย์เวิร์ดหลายคำ เช่น

รายงานอันเก่าของ Stack Overflow มีอันดับสูงกว่ารายงานใหม่ล่าสุด

แต่คุณไม่ต้องการลบรายงานประจำปีอันเก่าของคุณใช่หรือไม่

ไม่ต้องกังวล คุณสามารถย้ายข้อมูลนั้นได้

ตัวอย่างเช่น:

Upwork ใช้ URL “หลัก” อันเดียวสำหรับข้อมูลล่าสุดของ รายงานฟรีแลนซ์ประจำปี แต่แล้วพวกเขาก็เชื่อมโยงจากหน้านั้นรายงานประจำปีของพวกเขาก่อนหน้านี้เพื่อให้มีการอ้างอิง

รายงานฟรีแลนซ์ประจำปี

(อันที่จริงปีที่แล้ว Upwork เปลี่ยนชื่อรายงานประจำปีเป็น “Freelance Forward” และเปลี่ยน URL หลักด้วยเหตุผลดังกล่าว แต่ฉันแน่ใจว่าเขาจะเริ่มเชื่อมโยงจากเวอร์ชันหลักของรายงานนั้นไปยังเวอร์ชันที่ผ่านๆ มาอีกครั้ง)

8. ตั้งเป้าหมายที่ชาญฉลาด

หัวข้อและ ประเภทเนื้อหาที่ แตกต่างกันทำให้เกิดผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน

ต้องการดึงดูดแบ็กลิงค์เพื่อให้ Google จัดอันดับเว็บคุณให้ดีขึ้นหรือไม่

เนื้อหาที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลจึงเป็นทางออกที่ดี

ต้องการช่วยทีมขายของคุณให้มีโอกาสในการปิดการขายมากขึ้นหรือไม่?

ด้วยเหตุนี้การมีเป้าหมายเฉพาะสำหรับเนื้อหาของคุณจึงเป็นสิ่งสำคัญ มิฉะนั้น คุณไม่น่าจะได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ

เป้าหมายที่ดีที่สุดคือ S.M.A.R.T.

เฉพาะเจาะจง วัดได้ ทำได้ เกี่ยวข้อง และมีเวลาจำกัด

Specific (เฉพาะเจาะจง) : เป้าหมายที่คุณต้องการให้เนื้อหาบรรลุ ตัวอย่างเช่น จำนวน เฉพาะของโอกาสในการขายต่อเดือน จำนวนรายได้ที่แน่นอน หรือจำนวนแบ็กลิงค์

Measurable (วัดได้) : เป้าหมายควรเป็นเชิงปริมาณ (ตัวอย่างเช่น แย่ = “รายได้เพิ่มขึ้นเล็กน้อย” ดี = “ยอดขายผลิตภัณฑ์ $5,000 ต่อเดือนจากการเข้าชมรายงานนี้” เป็นต้น)

Achievable (ทำได้) : เป้าหมายควรสามารถทำได้จริง

Relevant (มีความเกี่ยวข้อง) : เป้าหมายต้องมีความสำคัญสำหรับธุรกิจ การเข้าชมเว็บไซต์เพียงอย่างเดียวมักเป็นเป้าหมายที่ไม่ดี ควรจะเป็นการสมัครจดหมายข่าวทางอีเมล และยิ่งถ้าเป็นยอดขายหรือรายได้จริงก็จะดีกว่า

Time-bound (กำหนดเวลา) : กำหนดเส้นตายว่าควรจะบรรลุเป้าหมายเมื่อใด ไม่ว่าจะเป็นสัปดาห์หลังจากเผยแพร่หรือหลายเดือนต่อมา เพิ่มกำหนดเวลาเป้าหมาย SMART ของคุณลงในปฏิทินกองบรรณาธิการ เพื่อให้คุณรู้ว่าควรกลับมาตรวจสอบเมื่อใด

เป้าหมายที่ดีที่สุดคือ S.M.A.R.T.

ตัวอย่างเช่น:

เป้าหมายสำหรับโพสต์ในบล็อกนี้ คือการดึงดูดสมาชิกที่สมัครด้วยอีเมล์ 30 รายต่อเดือนจากการค้นหาทั่วไปภายในวันที่ 1 ธันวาคม เป็นต้น

เมื่อถึงวันที่ 1 ธันวาคม ฉันจะทำการ วิเคราะห์ เพื่อดูว่าเป็นอย่างไรบ้าง

ข้อมูลดังกล่าวจะบอกว่า เนื้อหาได้ผลลัพธ์ตามที่คาดไว้หรือไม่ หรือต้องการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเพื่อให้เนื้อหานั้นสร้างผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

9. วางแผนการทำงานในปฏิทิน

นี่คือเคล็ดลับการทำ Content Marketing ที่น่าเบื่อที่สุดในรายการนี้

แต่มันสามารถสร้างความ แตกต่าง ได้มาก

นั่นเป็นเพราะปฏิทินบรรณาธิการ (หรือปฏิทินเนื้อหา หรือการวางแผนการทำงานในปฏิทิน) เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการยึดตามกำหนดการเผยแพร่ที่สอดคล้องกัน ซึ่งก็คือหนึ่งในกุญแจสู่ความสำเร็จในการทำ Content Marketing

ปฏิทินของคุณอาจเป็นเรื่องง่ายเหมือนสเปรดชีตของ Google ชีต หรือคุณสามารถใช้ซอฟต์แวร์อื่นๆ ก็ได้เช่นกน

สเปรดชีตของ Google ชีต

ต่อไปนี้ คือปฏิทินบรรณาธิการบางส่วนที่อยากจะแนะนำ

ปฏิทินบรรณาธิการมีความสำคัญเป็นพิเศษสำหรับทีมเนื้อหาที่เป็นทีมงานใหญ่ๆ ในการสร้างเนื้อหา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณแยกกำหนดเวลาย่อยสำหรับแต่ละแง่มุมของการผลิตเนื้อหาและการโปรโมต

ตัวอย่างเช่น คุณต้องการให้มีการตรวจทานและอนุมัติเนื้อหาขั้นสุดท้ายอย่างน้อยสองสามวันก่อนวันที่เผยแพร่

โดยปกติ การเขียนเนื้อหาจริงและเพิ่มมัลติมีเดียหรือสื่อต่างๆ จะต้องเกิดขึ้นก่อนหน้านั้น

และวันครบกำหนดของโครงร่างเนื้อหาจะเร็วยิ่งขึ้นไปอีก

การสร้างเส้นตายย่อยสำหรับแต่ละแง่มุมของ การพัฒนาเนื้อหา เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการช่วยให้ทีมงานของคุณอยู่ในแผน

10. ขยายช่องทางการตลาด

หากคุณมีเวลาและงบประมาณจำกัด คุณควรเริ่มต้นด้วยการโฟกัสให้แคบลง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ควรเน้นที่ ช่องทางใดช่องทางหนึ่งก่อนที่จะขยายไปยังช่องทางอื่นๆ

ทำไม?

การใช่ช่องทางการตลาดใดๆ ก็ตาม จำเป็นต้องใช้เวลา

ไม่ว่าจะเป็นการทำให้โพสต์บนบล็อกของคุณติดอันดับบน Google, การสร้างผู้ติดตามใน YouTube หรือดึงดูดผู้ติดตามบน Instagram

หนึ่งในนั้นใช้เวลาทำงานมาก

แต่เมื่อคุณถึงจุดเปลี่ยน ผลลัพธ์จะง่ายขึ้นมาก เหมือนปั่นจักรยานขึ้นเนินแล้วกลับลงมาอีกด้าน

ตัวอย่างเช่น GrowthBadger แหล่งที่มาของการเข้าชมหลักที่เน้นมาก คือ SEO นอกจากนี้ ยังมีการสร้างผู้ชมบน Twitter อีกด้วย

และก็จะขยายไปยังช่องทางและประเภทเนื้อหาอื่นๆ เช่น YouTube, พอดคาสต์, LinkedIn และ TikTok ในอนาคต

แต่ว่าได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นด้วยการสร้างการเข้าชมจาก SEO และผู้ติดตาม Twitter ก่อน จากนั้นก็สามารถใช้เนื้อหาเหล่านั้นเพื่อขยายไปยังช่องทางอื่นได้

มีข้อยกเว้นประการหนึ่งสำหรับกฎ “การขยายช่องทางการตลาด”:

อีเมล์

ในความเป็นจริง แทบทุกธุรกิจควรมีรายชื่ออีเมล์ นั่นเป็นเพราะการตลาดผ่านอีเมล์จะขับเคลื่อน ROI เฉลี่ยที่สูงกว่าช่องทางการตลาดอื่นๆ โดยอยู่ที่ 36 ดอลลาร์สำหรับทุกๆ 1 ดอลลาร์ที่ใช้ไป

นอกจากนี้ รายชื่ออีเมล์ของคุณยังพกพาได้ ดังนั้นจึงไม่มีใครสามารถปิดการเข้าถึงสมาชิกอีเมลของคุณในชั่วข้ามคืนได้ (ต่างจาก SEO และโซเชียลมีเดีย)

แต่นอกเหนือจากอีเมล คุณควรมุ่งความสนใจไปที่การดึงช่องทางการตลาดเพียงหนึ่งหรือสองช่องทางก่อนที่จะขยายไปยังช่องทางอื่นๆ จะดีกว่า

11. ประหยัดเวลาด้วยเครื่องมือเหล่านี้

มีเครื่องมือมากมายที่สามารถช่วยคุณประหยัดเวลาได้โดยการลัดกระบวนการแบบแมนนวล

และหากคุณมีงบจำกัด ก็มีตัวเลือกฟรีและราคาถูกมากมาย

นี่คือบางส่วนที่น่าสนใจ:

Typefully เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการร่างและกำหนดเวลาทวีตและชุดข้อความใน Twitter แม้แต่ Free Tier ก็ยังถือว่าดี

คุณสมบัติที่น่าสนใจของ Typefully คือการแสดงตัวอย่าง เมื่อคุณเขียนข้อความของคุณทางด้านซ้าย ต่างแสดงตัวอย่างทางด้านขวาจะแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเมื่อเผยแพร่แล้วจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร รวมทั้งภาพตัวอย่างด้วย

ตัวอย่า Typefully

ต่อไปคือ Wordable

Wordable นำเข้าร่างบล็อก จาก Google Doc ไปยัง WordPress ได้อย่างรวดเร็ว

มันตัดปัญหาการจัดรูปแบบแปลก ๆ ทั้งหมดที่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยการคัดลอกและวางอย่างง่าย และยังช่วยให้คุณใช้การจัดการแบบเป็นกลุ่มได้ เช่น การเพิ่มข้อความแสดงแทนรูปภาพและการเปิดลิงก์ในแท็บใหม่

Wordable นำเข้าร่างบล็อก จาก Google Doc ไปยัง WordPress

และเครื่องมือสุดท้ายที่จะพูดถึงคือ การพิมพ์ด้วยเสียงของ Google Doc

แต่บางคนจะพิมพ์เร็ว

แต่ก็ยังไม่เร็วเท่าการพูด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อติดขัดและจำเป็นต้องเริ่มต้น

หากต้องการใช้การพิมพ์ด้วยเสียงใน Google Doc ให้ไปที่ เครื่องมือ >> การพิมพ์ด้วยเสียง

จากนั้นคลิกปุ่มไมโครโฟนและเริ่มพูด

การพิมพ์ด้วยเสียงของ Google Doc

12. ควรให้ความรู้และอย่าเน้นการขาย

เคล็ดลับนี้จะชัดเจนสำหรับนักการตลาด Content Marketing ที่ช่ำชอง แต่มันสำคัญ

เนื้อหา ส่วนใหญ่ ของคุณควรมุ่งไปที่การช่วยเหลือผู้มีโอกาสเป็นลูกค้า ไม่ใช่การขายโดยตรง

ลองคิดดู:

ครั้งสุดท้ายที่คุณต้องการอ่านเอกสารการขายของบริษัทต่างๆ คือเมื่อใด

เนื้อหาส่วนใหญ่ของคุณควรเป็น:

ก) สร้างความไว้วางใจ

ข) ค่อยๆ ผลักดันผู้คนไปสู่ขั้นตอนต่อไปใน Content Marketing Funnel

ไม่ควรมีการเสนอขายซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แน่นอนว่าเนื้อหาบางอย่างควรเน้นการขาย เช่นเดียวกับหน้ารายละเอียดสินค้า หน้า Landing Page ของบริการ และลำดับการขายทางอีเมล

และไม่มีอะไรผิดปกติกับการประกาศข้อเสนอพิเศษบนโซเชียลมีเดีย

แต่ส่วนใหญ่?

บล็อก บัญชีโซเชียลมีเดีย ช่อง YouTube และพอดแคสต์ของคุณ ถ้าจะให้ดีที่สุดในการทำให้ผู้คนคุ้นเคยกับแบรนด์ของคุณ เรื่องการขายนั้นควรเอาไว้ภายหลัง

13. ให้ทุกโพสต์ควรมี 3 หัวข้อที่แตกต่างกัน

คุณรู้หรือไม่ว่าแต่ละบทความที่คุณเผยแพร่สามารถมีสามชื่อแยกกันได้

การใช้ทั้งสามวิธีนี้จะช่วยให้คุณดึงดูดผู้เยี่ยมชมไซต์ของคุณมากขึ้น เพิ่มปริมาณการค้นหา และเพิ่มการแชร์ในโซเชียล

ฉันจะแสดงให้คุณเห็นว่าฉันหมายถึงอะไรโดยใช้ บทความ BuzzFeed นี้ เป็นตัวอย่าง

หัวข้อที่ 1 คือ H1 สิ่งนี้จะปรากฏเป็นตัวอักษรขนาดใหญ่บนเว็บไซต์ของคุณ

ในสามชื่อที่เราจะกล่าวถึง เรื่องนี้อาจยาวที่สุด

ในบทความของ BuzzFeed หัวข้อ H1 คือ:

“I Air Fried 10 Trader ยอดนิยมของ Joe’s Food และมีผู้ชนะที่ชัดเจน”

นี่คือลักษณะที่พาดหัว H1 ปรากฏบนไซต์ของพวกเขา:

บทความของ BuzzFeed หัวข้อ H1

หัวข้อที่ 2 เป็น แท็ก Title

แท็ก Title ไม่แสดงบนเว็บไซต์ของคุณ แต่ปรากฏบน Google เป็นลิงก์สีน้ำเงินสำหรับหน้านั้น

แท็ก Title มีผลอย่างมากต่อการจัดอันดับ SEO ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะรวมคีย์เวิร์ดเป้าหมายของคุณไว้ด้วย — ควรจะ มุ่งไปที่จุดเริ่ม ต้น แต่โดยปกติแล้ว Google จะแสดงเพียง 50-60 ตัวอักษรแรกเท่านั้น ดังนั้นควรทำให้สั้น

ในบทความของ BuzzFeed แท็ก Title คือ:

“อาหารที่ดีที่สุดของ Trader Joe ที่จะทำในหม้อทอดไร้น้ำมัน”

นี่คือลักษณะที่ปรากฏบนหน้าผลการค้นหาของ Google:

บทความของ BuzzFeed แท็ก Title

หัวข้อที่ 3 คือชื่อที่แสดงใน Open Graph

Open Graph จะไม่แสดงบนไซต์ของคุณเองเช่นกัน แต่จะแสดงเมื่อโพสต์ของคุณถูกแชร์บนโซเชียลมีเดีย

ซึ่งควรเป็นข้อความที่แสดงอารมณ์หรือความลึกลับเพื่อกระตุ้นคนอ่าน ซึ่งสามารถ ทำให้เกิดการแชร์มาก ขึ้น

ชื่อ Open Graph ของบทความ BuzzFeed คือ:

“7 Trader Joe’s Foods ที่รสชาติดีกว่าในหม้อทอดไร้น้ำมัน (และ 3 อย่างที่ทำไม่ได้)”

(สังเกตว่ามีคลิกเบตมากกว่าชื่ออื่นๆ ในบทความเดียวกันเพียงเล็กน้อย)

นี่คือตัวอย่างหัวข้อ Open Graph ของบทความที่แสดงบน Facebook:

หัวข้อ Open Graph ของบทความที่แสดงบน Facebook

14. โพสต์สรุปเนื้อหาบน Reddit

ถ้าเนื้อหาเว็บคุณเป็นภาษาอังกฤษ คุณควรใช้เทคนิคนี้ เพราะว่า…

Reddit ได้รับการเข้าชมมากกว่า 50 ล้านคน ในแต่ละวัน แต่ก็ยังไม่ค่อยมีใครใช้เพื่อทำการตลาดมากนัก

(โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับโซเชียลอื่นๆ เช่น Facebook และ Instagram)

เหตุใดนักการตลาด Content Marketing จึงไม่ค่อยใช้ Reddit

คำตอบง่ายมาก : เมื่อโพ้สแล้วมักจะโดนกดปุ่ม “Downvote”

โดยส่วนใหญ่แล้วหากคุณมีการโปรโมทตัวเอง คุณจะโดน Downvote ไปจนลืมไม่ลง และจะไม่มีใครเห็นสิ่งที่คุณแชร์เลย

แต่การใช้ Reddit เพื่อดึงดูดผู้เยี่ยมชมบล็อกนี้ได้หลายหมื่นคน ก็ทำได้เช่นกัน

เคล็ดลับก็คือ:

แทนที่จะแชร์ลิงก์ไปยังโพสต์บนบล็อกของคุณเอง ให้คุณเขียน “โพสต์ข้อความ” ยาวๆ บน Reddit เกี่ยวกับเรื่องนั้น

โพสต์ข้อความ Reddit

ในโพสต์ข้อความ Reddit นั้น ควรกล่าวถึงเนื้อหาส่วนที่มีความสำคัญที่สุดของโพสต์บล็อกของคุณ

หากบล็อกโพสต์เป็นคำแนะนำเชิงลึก ก็ควรจะเขียนขั้นตอนสำคัญๆ ใน Reddit

หรือถ้าโพสต์ในบล็อกเป็นงานวิจัย ก็ควรกล่าวถึงการค้นพบที่น่าสนใจที่สุด

ประเด็นคือการให้คุณค่าเพียงพอบน Reddit ที่ผู้คนจะโหวตและแสดงความคิดเห็น แม้ว่าจะไม่มีคนคลิกผ่านไปยังเนื้อหาต้นฉบับของคุณก็ตาม

จากนั้น คุณสามารถลิงก์กลับไปยังเนื้อหาของคุณได้ที่ด้านล่าง

คุณจะแปลกใจว่ามีคนเข้าชมเว็บไซต์ของคุณด้วยวิธีนี้กี่คน

ตัวอย่างเช่น นี่คือข้อความโพสต์ที่เขียนบน subreddit ในส่วนของ r/Entrepreneur เมื่อนานมาแล้ว

ข้อความโพสต์ที่เขียนบน subreddit

ซึ่งก็ยังคงได้รับการเข้าชมจากโพสต์ Reddit นั้นในวันนี้ (แม้ว่าจะ “ให้” ข้อมูลสำคัญส่วนใหญ่ใน Reddit ที่นั่น)

การโพสต์บน Reddit อาจทำให้รู้สึกค่อยคุ้นเคยในตอนแรก แต่เมื่อคุณคุ้นเคยกับมันแล้ว คุณจะเห็นว่านี่เป็นหนึ่งในเคล็ดลับการตลาดที่ทรงพลังที่สุดอย่างหนึ่ง

15. เข้าถึงกลุ่มลูกค้าด้วย Community

หากมีความสนใจเฉพาะกลุ่มคน แสดงว่าอาจมีฟอรัมหรือชุมชนที่พูดคุยเรื่องนั้น

ชุมชนเหล่านั้นเป็นพื้นที่ ที่ยอดเยี่ยมในการทำให้ธุรกิจของคุณเป็นที่รู้จักมากขึ้น

คุณสามารถเข้าไปพูดคุย แลกเปลี่ยนความรู้ หรือจะเป็นการให้สาระความรู้ กับผู้คนเลยก็ได้

ทำได้ง่ายมาก

เช่น การพูดคุยในกลุ่ม Facebook ที่เป็นแหล่งพูดคุยของกลุ่มลูกค้าของคุณ

หรือแม้แต่ กลุ่มไลน์ หรือจะเป็นเว็บบอร์ด ก็ได้เช่นกัน

วิธีนี้ ถือว่าเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและกลุ่มลูกค้าของคุณ

16. เน้นที่ความเกี่ยวข้องมากกว่าปริมาณ

การพยายามเข้าถึงผู้ชมมากที่สุดด้วยเนื้อหาของคุณเป็นเรื่องที่น่าดึงดูด

เพื่อไปสู่กระแสไวรัลครั้งใหญ่บนโซเชียล หรือพยายามจัดอันดับคีย์เวิร์ดแบบกว้างที่มีการค้นหา 100,000 ครั้งต่อเดือน

นี่คือปัญหา:

การเข้าชมนั้นไม่ได้กำหนดเป้าหมาย คนเหล่านั้นไม่ได้สนใจสิ่งที่คุณขาย

เนื้อหาที่กว้างเกินไปอาจทำให้ผู้เยี่ยมชมเข้ามา แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว มันจะไม่ส่งผลต่อธุรกิจของคุณ

แล้วต้องทำอย่างไรแทน?

มุ่งเน้นที่การสร้างเนื้อหาที่ลูกค้าในอุดมคติของคุณจะสนใจ

ตัวอย่างเช่น:

  • สอนเกี่ยวกับสิ่งที่คุณทำ
  • ช่วยแก้ปัญหาทั่วไป
  • หรือแสดงความเชี่ยวชาญของคุณในแบบที่สนุกสนาน

และจากมุมมอง SEO นี่คือสิ่งที่คุณสามารถทำได้:

เมื่อค้นคว้าคีย์เวิร์ด ให้ดูที่ CPC เฉลี่ย (ต้นทุนต่อคลิก)

CPC ที่สูงขึ้นมักจะหมายความว่าผู้คนเหล่านั้นสนใจที่จะซื้อมากกว่า เนื่องจากผู้โฆษณาจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย

คุณสามารถดูรูปแบบดังกล่าวได้ในภาพหน้าจอด้านล่าง

คีย์เวิร์ด “social media” มีการค้นหา 200,000 ครั้งต่อเดือนโดยมี CPC เฉลี่ยอยู่ที่ $2.50 ในขณะที่ “social media marketing agency” ได้รับการค้นหาเพียง 7.5k ต่อเดือน – แต่มี CPC ที่ 19 ดอลลาร์:

ปริมาณการค้นหา คีย์เวิร์ด social media

ดังนั้น ถ้าคุณเปิดบริษัทตัวแทนการตลาดโซเชียลมีเดีย ควรจะเน้นที่คีย์เวิร์ดที่มีปริมาณการค้นหาต่ำและ CPC สูงกว่า

(คีย์เวิร์ดเหล่านั้นยังมีการแข่งขันน้อยกว่าด้วย)

17. คิด 10 หัวข้อสำหรับเนื้อหาแต่ละโพ้ส

เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์ กล่าวว่า: “โครงร่างแรกของทุกสิ่งนั้นไร้สาระ”

และถึงกระนั้น ผู้สร้างเนื้อหาจำนวนมากก็แค่เขียนแนวคิดหัวข้อเรื่องเพียงครั้งเดียว และด้วยการปรับปรุงเพียงเล็กน้อยหรือสองครั้ง หัวข้อเรื่องก็ดีขึ้นได้

ความจริงก็คือ หัวข้อเรื่องเเป็นส่วนสำคัญเพราะเป็นสิ่งที่ชักจูงให้ผู้คนอ่าน ดู หรือฟังงานของคุณ ดังนั้นจึงควรสละเวลาเพิ่มเติมเพื่อทำให้ถูกต้อง

นั่นเป็นเหตุผลที่ คุณควรเขียนหัวข้อขึ้นมา ไม่ใช่หนึ่ง ไม่ใช่สอง แต่เป็น สิบ หัวข้อหลักที่แตกต่างกันสำหรับเนื้อหาแต่ละชิ้นที่คุณสร้างขึ้น

ถ้าคุณทำอย่างนั้น ครึ่งหนึ่งก็มักจะดูโอเค

และอีกไม่กี่หัวข้อก็จะพอดูได้เท่านั้น

แต่จะมีอย่างน้อยหนึ่งหรือสอง หัวข้อที่จะต้องดีมากจริงๆ

แล้วคุณก็เลือกหัวข้อที่ดีที่สุดนำไปใช้

18. สร้างเครื่องมือฟรี

ทุกคนชอบของฟรี

ดังนั้นเครื่องมือฟรีจึงเป็นวิธีการตลาดที่ดีที่สุดวิธีหนึ่ง

นั่นเป็นสาเหตุที่ธุรกิจ SaaS จำนวนมากใช้รูปแบบการกำหนดราคาแบบฟรีเมียม ตัวอย่าง Canva , Moz และ Later.com เช่น เมื่อสร้างระบบที่ให้งานแบบเต็มซึ่งต้องจ่ายเงิน แต่จะนำเสนอรุ่นที่ใช้ฟรีได้แบบจำนวนจำกัด

แต่เครื่องมือฟรีไม่ได้มีไว้สำหรับธุรกิจ SaaS เท่านั้น

บริษัทจำนวนมากสร้างเครื่องมือฟรีสำหรับจุดประสงค์ทางการตลาดเท่านั้น โดยที่ยังไม่มีแผนที่จะเรียกเก็บเงินเลย เช่น Add on สำหรับ SEO เป็นต้น

Add on สำหรับ SEO

หากคุณไม่มีทุนหรือความรู้ที่จะสร้างอะไรแบบนั้น ไม่ต้องกังวล

เครื่องมือฟรีของคุณไม่จำเป็นต้องยอดเยี่ยมขนาดนั้น

มันอาจเป็นเพียงแค่:

ต่อไปก็ถึงตาคุณแล้ว ที่จะแจกของฟรี เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย

19. เผยแพร่เนื้อหาที่ดีกว่า 10x

เนื้อหา 10x คือเนื้อหาที่ดีกว่าเนื้อหาอื่นๆ ที่เคยเผยแพร่ในหัวข้อนั้นถึง 10 เท่า

นั่นอาจหมายถึงหลายสิ่งหลายอย่าง:

  • เจาะลึกมากขึ้น (บทความที่มีความยาวมากกว่า 7,000+ คำ ได้รับ การเข้าชมมากเป็น 4 เท่า ของบทความที่สั้นกว่า)
  • เขียนได้ชัดเจนขึ้น
  • ออกแบบได้ดีกว่า
  • น่าสนใจหรือสนุกสนานมากขึ้น
  • ข้อมูลงานวิจัยดีขึ้น ละเอียดขึ้น

ประเด็นของเนื้อหา 10x คือการสร้างเนื้อหาที่ยิ่งใหญ่ จนใครเห็นก็ต้องบอกว่า “สุดยอด!”

ตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบคือ คู่มือการนำเสนอบน Zoom ใน Be The Keynote:

คู่มือการนำเสนอบน Zoom ใน Be The Keynote

คู่มือนี้เป็นเพียงโพสต์ที่สองที่เคยเผยแพร่ในบล็อก Be The Keynote แต่ประกอบด้วยข้อความ 29,584 คำ พร้อมภาพหน้าจอ 84 ภาพ และวิดีโอแนะนำมากกว่า 10 รายการ

ครอบคลุมทุกแง่มุมของการนำเสนอบน Zoom

และมีโครงสร้างและการออกแบบที่ดี

ส่งผลให้ได้รับแบ็กลิงค์และการแชร์บนโซเชียลหลายร้อยรายการอย่างรวดเร็ว และผู้คนยังคงพูดถึงมาตลอด

ทั้งหมดเป็นเพราะเนื้อหา 10x ของแท้ ไม่ใช่แค่โพสต์แบบทั่วไป

คุณอาจไม่มีเวลาหรือทรัพยากรในการสร้างเนื้อหา 10x แต่ก็ไม่เป็นไร ในกรณีนั้น อยากให้คุณเน้นที่เนื้อหาที่สามารถใช้งานได้จริง และไม่มีวันหมดอายุ คือไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ก็ยังเป็นเนื้อหาที่ใช้งานได้จริง

20. การแจกของฟรีแบบไวรัล

การแจกของรางวัลเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการได้รับรายชื่ออีเมล์ลูกค้าของคุณอย่างรวดเร็ว

นี่คือตัวอย่างหนึ่ง เมื่อสองสามปีก่อน

การแจกของฟรี

สิ่งนั้นเป็นเพียงของแถมแบบปกติ

แต่คุณสามารถได้รับผลลัพธ์ที่ดีขึ้นมากด้วยการ แจกของแบบไวรัล

แจกของแบบไวรัลมีหลักการง่ายๆ คือ ให้ผู้คนมีโอกาสที่จะชนะมากขึ้น เมื่อแชร์ของแจกกับเพื่อน ๆ ดังนั้น แต่ละคนจึงได้รับแรงจูงใจในการดึงดูดผู้คนอื่นๆ ให้มากขึ้น

ลองดูตัวอย่างนี้

แจกของแบบไวรัล

คำแนะนำหนึ่งข้อ :

เมื่อคุณแจกของรางวัล ให้เลือกรางวัลของคุณอย่างระมัดระวัง อย่าเสนอสิ่งที่ทุกคนต้องการ เช่น บัตรของขวัญ Amazon หรือ iPad

เป็นการดีกว่าที่จะเสนอสิ่งที่มีเพียงเฉพาะผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าของคุณเท่านั้นที่จะสนใจ

หากคุณเปิดร้านทำสวน อุปกรณ์ทำสวนฟรีคือสิ่งที่ควรนำมาเป็นรางวัล หรือหนังสือทำสวนยอดนิยมและบัตรของขวัญให้กับร้านค้าของคุณ เป็นต้น

ด้วยวิธีนี้ คุณจะได้รับรายชื่ออีเมล์ ที่คุณได้รับจากการแจกของรางวัล คือผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าในอนาคต และไม่ใช่แค่ผู้คนที่สนใจของฟรีเท่านั้น

21. นำเนื้อหาของคุณกลับมาใช้ใหม่

วิธีที่เร็วที่สุดในการสร้างเนื้อหาใหม่คืออะไร

โดยการนำเนื้อหาเก่ามาใช้ใหม่

ตัวอย่างเช่น คุณมีพอดแคสต์หรือไม่?

เครื่องมือเช่น การพิมพ์ด้วยเสียงของ Google Docs สามารถสร้างข้อความจากเสียงได้โดยอัตโนมัติ

จากนั้นให้แก้ไขข้อความถอดเสียงเล็กน้อยแล้วเผยแพร่เป็นโพสต์ในบล็อก สุดยอด! คุณจะได้เนื้อหาสองชิ้นในครั้งเดียว

คุณยังสามารถถ่ายคลิปสั้นๆ ของตอนและโพสต์บนโซเชียลมีเดีย

หรือเผยแพร่เสียงบน YouTube ด้วยเช่นกัน

เนื้อหาเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวคิดการนำกลับมาใช้ใหม่:

  • เปลี่ยนเนื้อหาที่มีข้อมูลเป็นการนำเสนอบน SlideShare และ Instagram
  • เผยแพร่คลิปสั้นๆ ของวิดีโอ YouTube แบบยาว โดยทำเป็นวิดีโอหลายๆ ตอน
  • เปลี่ยนโพสต์บล็อกแล้วนำไปลงใน Twitter

คุณยังสามารถเพิ่มโพสต์โซเชียลที่ดีที่สุดของคุณลงในเนื้อหาบนบล็อกของคุณได้อีกด้วย

22. เขียนโดยใช้หลักการ “F-Shaped”

ใช้การติดตามของสายตา ซึ่ง มีการศึกษาวิจัย โดย Nielsen Norman Group แสดงให้เห็นว่าผู้คนมักจะอ่านเนื้อหาในรูปแบบ “F-shape”

นี่คือตัวอย่าง สามตัวอย่างจากการศึกษาวิจัย:

F-Shaped

ผลการศึกษาพบว่า สายตาของผู้คนเริ่มต้นที่ด้านซ้ายบนของหน้าและเลื่อนไปทางขวา

จากนั้นก็กระโดดลงมาเล็กน้อยแล้วไปทางขวาอีกสองสามครั้ง

จากนั้นเมื่อเลื่อนลงไปอีก คนก็มักจะดูที่ด้านซ้ายของเนื้อหาเท่านั้น เพื่อมองหาสิ่งที่น่าสนใจ

(จากการศึกษาและติดตามผล พบว่า รูปแบบเดียวกันนี้เกิดขึ้นทั้งบนเดสก์ท็อปและมือถือ)

ซึ่งหมายความว่า:

ย่อหน้าที่ 1 ของคุณเป็นสิ่งสำคัญ

ย่อหน้าที่ 2 ก็มีความสำคัญเช่นกัน

แต่ในย่อหน้าที่ 3 นั้น มากกว่า 90%+ ของงานเขียนของคุณ คนมักจะไม่ค่อยสนใจ (เว้นแต่คนๆ นั้นจะติดใจเนื้อหาคุณจริงๆ)

ดังนั้น พยายามใช้คำหรือข้อความที่ผู้อ่านสนใจใน 1-2 คำแรกของหัวข้อย่อย หรือ ย่อหน้า หรือถ้าคำเหล่านั้นอยู่ในย่อหน้าอยู่แล้ว ให้ลองเพิ่ม ตัวหนา เพื่อดึงความสนใจคนอ่าน

หรือคุณสามารถทำให้ย่อหน้าของคุณสั้นและง่ายต่อการอันก็ได้เช่นกัน

การปรับเปลี่ยนเหล่านั้นจะช่วยดึงดูดความสนใจของผู้ผ่าน และทำให้ผู้ชมนั้น อ่านต่อไปเรื่อยๆ

สุดท้ายแล้ว

ทั้งหมดนี้ก็เป็นการสรุป เคล็ดลับการทำ Content Marketing และตอนนี้ก็อยากรู้แล้วนะ ว่าคุณคิดยังไง

คุณมีเคล็ดลับที่ชื่นชอบจากในบทความนี้หรือไม่?

หรือมีเคล็ดลับอื่นที่คุณคิดว่าควรรวมไว้ในนี้หรือไม่

แสดงความคิดเห็นที่โพ้สนี้ได้เลย เพื่อบอกให้เราทราบ

No Comments

Leave a Comment