การทำ Content Marketing ให้ปังปุริเย่!!! (ในปี 2022)

  • 11 June 2022

ในบทความนี้ (หรือจะเรียกว่าคู่มือนี้ก็ไม่ผิด) คุณจะได้เรียนรู้วิธีทำการตลาด Content Marketing ด้วยแนวคิดของ Marketing Funnel ที่กระตุ้นการเข้าชม โอกาสในการขาย และการขายอย่างสม่ำเสมอ โดยไม่ต้องเสียค่าโฆษณา

จากการศึกษาพบว่า ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจำนวนมาก ใช้การตลาด Content Marketing ได้อย่างไร

นี่คือ คู่มือที่แนะนำวิธีการทำ ทีละขั้นตอน

ไปกันเลย

สารบัญ:

การตลาด Content Marketing ทำงานอย่างไร

ตัวอย่าง Content Marketing โดยใช้โซเชียลมีเดีย

ตัวอย่างและคำแนะนำ Content Marketing โดยใช้ SEO

ขั้นตอนที่ 1: ทำวิเคราะห์คีย์เวิร์ด

ขั้นตอนที่ 2: ประเมินเนื้อหาที่คุณมีอยู่

ขั้นตอนที่ 3: สรุปช่องทางการ Content Marketing

ขั้นตอนที่ 4: สร้างเนื้อหายอดนิยม (การรับรู้)

ขั้นตอนที่ 5: สร้างเนื้อหาส่วนกลาง (ความสนใจ)

ขั้นตอนที่ 6: สร้างเนื้อหาส่วนล่าง (ความต้องการ และ ตัดสินใจซื้อ)

ขั้นตอนที่ 7: เสริมความแข็งแกร่งให้กับ Content Marketing ของคุณ เพื่อให้มี “ความถี่ที่มีประสิทธิภาพ”

การตลาด Content Marketing ทำงานอย่างไร

การทำ Content Marketing นั้นเป็นการเปลี่ยนคนแปลกหน้า ให้กลายเป็นผู้ใช้ แฟนคลับ และลูกค้าให้ได้ในที่สุด

โดยใช้กลยุทธ์ AIDA ซึ่งเป็นกระบวนการสี่ขั้นตอน ที่อธิบายการได้มาซึ่งลูกค้า :

Awareness (การรับรู้), Interest (ความสนใจ), Desire (ความต้องการ), และ Action (การดำเนินการ หรือ การตัดสินใจซื้อ)

เพื่อให้คุณเห็นภาพแต่ละขั้นตอนของ AIDA ได้ชัดเจนขึ้น ลองดูรูปนี้ :

การทำ Content Marketing Funnel

ด้านบนสุดก็คือ การรับรู้ : คือการทำให้ลูกค้า หรือกลุ่มเป้าหมายรู้จักคุณ

ในช่องทางการขายตามโฆษณาแบบสมัยก่อน จะเป็นการใช้วิธีการโฆษณาที่กว้างที่สุด เช่น โฆษณาทางทีวี และป้ายโฆษณา

แต่สำหรับ Content Marketing นั้น ส่วนที่จะทำให้เกิดการรับรู้ก็คือ ส่วนบนสุดของ Marketing Funnel (การรับรู้) เป้าหมายของส่วนนี้ก็คือ เพื่อให้มีคนเห็นหรือรู้จักเป็นจำนวนมาก ปกติแล้วจะไม่เน้นเกี่ยวกับสินค้าหรือการขายใดๆ

ขั้นต่อไปคือ ความสนใจ : นี่คือที่ที่คุณสามารถสร้างความไว้วางใจจากลูกค้าให้มากขึ้น และเริ่มทำให้ลูกค้ารู้สึกดีกับสิ่งที่คุณขาย…

ไม่ว่าจะโดยการเน้นไปที่ปัญหาของลูกค้า แนวทางแก้ไขที่คุณเสนอ หรือทั้งสองอย่างก็ตาม

ความต้องการ และ การตัดสินใจซื้อ เป็นส่วนสำคัญของการทำ Content Marketing

ขั้นตอนเหล่านี้เป็นที่ที่คุณจะโน้มน้าวให้ลูกค้าซื้อสินค้าหรือบริการของคุณจริงๆ

ในคู่มือนี้ จะแสดงวิธีการทำ Content Marketing โดยการสร้างเนื้อหาสำหรับแต่ละขั้นตอน

ซึ่งในแต่ละส่วนของ Marketing Funnel จะทำให้ผู้คนเข้าใกล้กับการซื้อสินค้าคุณมากขึ้น…

จนกว่าคุณจะขายสินค้าได้ในที่สุด

ตอนนี้ มาดูตัวอย่างของการทำ Content Marketing ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางการรับรู้

จากนั้นเราจะดูวิธีการทีละขั้นตอนสำหรับการการใช้ SEO ด้วย

ตัวอย่าง Content Marketing โดยใช้โซเชียลมีเดีย

ในส่วนนี้ขอยกตัวอย่างของต่างประเทศก็แล้วกันนะครับ

Roberto Robles ทำธุรกิจเอเจนซี่ SEO และมีบริการเครื่องสำหรับมือทำ SEO ด้วย

ไม่นานมานี้ เขาโพสต์ทวีตง่ายๆ ที่เสนอคำแนะนำเกี่ยวกับการทำ SEO ฟรี :

Roberto Robles ทำธุรกิจเอเจนซี่ SEO

ประมาณว่า ให้คอมเม้นด้วยลิงค์เว็บไซต์ตัวเอง แล้วเค้าก็จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับ SEO 1 อย่าง

จากนั้นเค้าก็ตอบคำถามแต่ละคนด้วยการแชร์วิดีโอสั้นๆ ที่แนะนำคุณโดยเฉพาะ เช่น อันนี้

นี่คือสิ่งที่ยอดเยี่ยม :

ในวิดีโอเหล่านั้น Roberto ใช้เครื่องมือ SEO ของเขาเอง ในการให้คำแนะนำ ตัวอย่างเช่น การใช้เครื่องมือสำหรับวิเคราะห์คีย์เวิร์ดต่างๆ

Roberto ใช้เครื่องมือ SEO ของเขาเอง ในการให้คำแนะนำ

สุดท้าย Roberto ได้ฝังวิดีโอแต่ละคลิปไว้ในหน้า Landing Page บนเว็บไซต์ตัวเอง

และใต้วิดีโอนั้น เขาได้เพิ่มลิงก์เกี่ยวกับสินค้าและบริการด้าน SEO ของเขาเอง

Roberto ได้ฝังวิดีโอแต่ละคลิปไว้ในหน้า Landing Page

ด้วยกลยุทธ์นี้ Roberto ได้พบกับคนที่เป็นเจ้าของเว็บไซต์ที่ต้องการความช่วยเหลือด้าน SEO และโดยพื้นฐานแล้วเขาได้แนะนำวิธีการใช้เครื่องมือ SEO และบริการของเขาเอง

ทั้งหมดนี้ไม่ต้องเสียเงินโฆษณาเลยซักบาท

นั่นเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของการตลาดขั้นพื้นฐานที่ได้ผล

แน่นอนว่า วิธีการนี้จะต้องทำการถ่ายวีดีโอแต่ละคำถามจากเจ้าของเว็บไซต์ต่างๆ ที่ถามคำถามเข้ามา ดังนั้น วิธีนี้จึงต้องใช้ความพยายามอย่างมาก สำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลา อาจจะไม่สะดวกสำหรับวิธีการนี้

สมมติว่าคุณกำลังขายคอร์สเรียนทำอาหารแทน

ถ้าคุณต้องการทำให้กระบวนการขายและการตลาดนั้นเป็นแบบอัตโนมัติ

และคุณอาจต้องการใช้โซเชียลที่ต้องมีการโพ้สรูปภาพจำนวนมาก เช่น อินสตาแกรม

วิธีการของคุณอาจมีลักษณะดังนี้ :

การรับรู้ : โพ้สเรื่องราวใน Instagram พร้อมเคล็ดลับการทำอาหาร โดยแต่ละโพ้สอาจจะมีสูตรอาหารแนะนำ

ความสนใจ: ในหน้า Landing Page ของสูตรอาหาร มีแบบฟอร์มการสมัครโดยให้กรอกอีเมล์

ความต้องการ และ การตัดสินใจซื้อ : มีการส่งอีเมล์หาสมาชิก ซึ่งแนะนำเคล็ดลับการทำอาหารเพื่อสุขภาพต่างๆ และมีข้อมูลแสดงให้เห็นว่า เหตุใดจึงสำคัญ (สร้างความต้องการ) แล้วขายคอร์สเรียนทำอาหารให้กับสมาชิก (ทำให้ตัดสินใจซื้อ)

ดูว่าเนื้อหาแต่ละส่วนนั้น นำไปสู่ส่วนถัดไปของ Marketing Funnel ได้อย่างไร

นี่คือสิ่งที่คุณทำ

คุณสามารถใช้โครงสร้างด้านบนเป็นต้นแบบได้ และปรับให้เข้ากันได้ กับเนื้อหาของคุณเอง

ตัวอย่างและคำแนะนำ Content Marketing โดยใช้ SEO

ตอนนี้ขอแนะนำคุณผ่านตัวอย่างและกระบวนการที่เจาะลึกยิ่งขึ้น ตัวอย่างนี้อาศัยปริมาณการค้นหาจาก Google

เนื่องจากมีการปรับแต่งเล็กน้อย กระบวนการต่อไปนี้อาจจะใช้ร่วมกับช่องทางที่ไม่ใช่ SEO เช่น PPC, โซเชียลมีเดีย และการตลาดทางอีเมล์ ก็ได้

ขั้นตอนที่ 1: ทำการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดตามเจตนาของผู้ใช้

ส่วนหนึ่งของสิ่งที่ทำให้การทำ Content Marketing มีประสิทธิภาพมากคือปริมาณการค้นหาที่สามารถสร้างขึ้นได้

แต่เนื้อหาของคุณจะได้รับการเข้าชมจำนวนมากโดยไม่ได้เกิดลูกค้าเลย หากเนื้อหานั้นไม่ตรงกับ จุดประสงค์ ของสิ่งที่คนค้นหากำลังต้องการ

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ สิ่งที่คนค้นหาต้องการจริงๆ

คนเหล่านี้ต้องการซื้อหรือไม่?

เขากำลังต้องการช็อปปิ้งหรือไม่?

หรืออาจจะกำลังหาข้อมูลเบื้องต้นบางอย่าง?

คีย์เวิร์ดประเภทต่างๆ ตรงกับความตั้งใจที่แตกต่างกัน…

ซึ่งจะจับคู่กับส่วนต่างๆ ของ Marketing Funnel ของคุณ

อันที่จริง เนื้อหาตามเจตนาควรเป็นแกนหลักของการตลาด แม้ว่าคุณจะไม่สนใจ SEO ก็ตาม

แต่คุณจะค้นหาคีย์เวิร์ดหรือหัวข้อที่ดีและทราบเจตนาของผู้ใช้ได้อย่างไร

นี่เป็นขั้นตอนง่ายๆ 3 ขั้นตอนในการปฏิบัติตาม

แต่ก่อนอื่น เรามาดูตัวอย่างสั้นๆ ของคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมกับแต่ละส่วนของแผนภูมินี้

คีย์เวิร์ดสำหรับส่วนบนสุดของ Marketing Funnel :

Marketing Funnel - Awareness (การรับรู้)

การค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดสำหรับส่วนบนสุดมักจะกำลังหาข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับหัวข้อต่างๆ

ซึ่งหมายความว่าไม่น่าจะทำการซื้อในทันที

แต่คีย์เวิร์ดเหล่านี้มักจะมีการค้นหาเป็นจำนวนมาก

ตัวอย่างของคีย์เวิร์ดลักษณะนี้ได้แก่ :

  • “การวิ่งมาราธอน”
  • “การทำ seo”
  • “ขั้นตอนการเขียนบล็อก”

คุณสามารถดูได้ว่าคีย์เวิร์ดเหล่านี้จะเกี่ยวข้องกับธุรกิจต่างๆ อย่างไร เช่น แบรนด์รองเท้า บริษัทพัฒนาแอพต่างๆ หรือ บริการโฮสติ้ง WordPress เป็นต้น

แต่ผู้ที่ค้นหาอาจยังไม่พร้อมที่จะซื้ออะไรทั้งนั้น

คีย์เวิร์ดที่อยู่ตรงกลาง มักจะเน้นที่ปัญหา วิธีแก้ปัญหา โอกาส หรือกิจกรรมที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น

Marketing Funnel - Interest (ความสนใจ)

ตัวอย่างของคีย์เวิร์ดส่วนนี้ ได้แก่ :

  • “ฝึกวิ่งมาราธอน”
  • “เครื่องมือวิเคราะห์คีย์เวิร์ด”
  • “เขียนบล็อกที่ไหนดี”

คีย์เวิร์ดเหล่านี้แสดงถึงคำถามที่ผู้คนมี ในขณะที่กำลังจะก้าวต่อไปอีกเล็กน้อย ในเส้นทางของผู้ซื้อ

คนที่ค้นหาอาจยังไม่พร้อมที่จะควักกระเป๋าเงินออกมา แต่ก็กำลังค้นคว้าสิ่งต่าง ๆ อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น และมีความตั้งใจมากขึ้น

คีย์เวิร์ดสำหรับส่วนล่างสุด จะแสดงความตั้งใจในการซื้อหรือการพิจารณาสินค้าหรือบริการแบบเฉพาะเจาะจง

Marketing Funnel - Desire (ความต้องการ) และ Action (การดำเนินการ หรือ การตัดสินใจซื้อ)

แต่คีย์เวิร์ดเหล่านี้ก็มีปริมาณการค้นหาน้อยที่สุดเช่นกัน

นั่นเป็นเพราะผู้คนจำนวนมากใน Google ต้องการข้อมูลเกี่ยวกับการวิ่งมาราธอนมากกว่าการซื้อรองเท้าเพื่อวิ่งจริงๆ

ตัวอย่างของคีย์เวิร์ดกลุ่มนี้ ได้แก่ :

  • “รองเท้าวิ่งมาราธอน ราคาถูก” หรือ “nike air zoom alphafly next eliud”
  • “ahrefs vs semrush” หรือ “ahrefs pricing”
  • “ราคา hosting wordpress” หรือ “wordpress hosting godaddy”

เมื่อรวมเข้าด้วยกัน คุณจะเห็นว่าคีย์เวิร์ดประเภทต่างๆ เหล่านี้สร้างเส้นทางของผู้ซื้อทั้งหมดได้อย่างไร ตั้งแต่การรับรู้ จนถึง ความสนใจ ความต้องการ และการดำเนินการหรือการตัดสินใจซื้อ

“การวิ่งมาราธอน” ➡ “ฝึกวิ่งมาราธอน” ➡ “รองเท้าวิ่งมาราธอน ราคาถูก” ➡ “nike air zoom alphafly next eliud”

“การทำ seo” ➡ “เครื่องมือวิเคราะห์คีย์เวิร์ด” ➡ “ahrefs vs semrush” ➡ “ahrefs pricing”

“ขั้นตอนการเขียนบล็อก” ➡ “เขียนบล็อกที่ไหนดี” ➡ “ราคา hosting wordpress” ➡ “wordpress hosting godaddy”

ช่องทางการตลาด Content Marketing Funnel

คุณสามารถสร้างช่องทางการตลาด Content Marketing โดย การพัฒนาเนื้อหา สำหรับคีย์เวิร์ดแต่ละคำได้เลย

ต่อไปนี้คือ 3 ขั้นตอนในการค้นหาคีย์เวิร์ดเพื่อกำหนดเป้าหมายและค้นหาจุดประสงค์ของการค้นหา

#1: ใช้เครื่องมือวางแผนคีย์เวิร์ดของ Google

เครื่องมือวางแผนคีย์เวิร์ดของ Google เป็นเครื่องมือสำหรับธุรกิจที่โฆษณาบน Google (ผ่าน Google Ads)

แต่คุณไม่ต้องเสียเงินก็ใช้ได้ฟรี

และเนื่องจากเต็มไปด้วยข้อมูลที่ส่งตรงจาก Google เครื่องมือวางแผนคีย์เวิร์ดของ Google จึงเป็นหนึ่งในเครื่องมือวิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่ใช้กันอย่างแพร่หลายมากที่สุด

จุดประสงค์ของการใช้งานเพื่อ :

  • ค้นหาไอเดียคีย์เวิร์ดใหม่
  • ดูจำนวนคำค้นหาแต่ละคำ ในแต่ละเดือน และ…
  • ทำความเข้าใจเจตนาเบื้องหลังของคีย์เวิร์ด โดยพิจารณาจากจำนวนเงินที่ผู้ลงโฆษณาจ่ายจริง เพื่อลงโฆษณากับคีย์เวิร์ดนั้นๆ

เริ่มต้นด้วยการไปที่ ads.google.com/home/tools/keyword-planner/ และคลิกปุ่ม “ไปที่เครื่องมือวางแผนคีย์เวิร์ด”

เครื่องมือวางแผนคีย์เวิร์ด

จากนั้น ซึ่งคุณจะต้อง Login เข้าสู่ระบบก่อน โดยใช้ Gmail

แต่คุณไม่จำเป็นต้องสร้างโฆษณาใดๆ คุณเพียงแค่ต้องมีบัญชี เพื่อใช้งานส่วนนี้เท่านั้น

เมื่อคุณอยู่ในหน้า “เครื่องมือวางแผนคีย์เวิร์ด” ของ Google แล้ว ให้คลิกเลือกที่ “ค้นพบคีย์เวิร์ดใหม่ๆ”

ค้นพบคีย์เวิร์ดใหม่ๆ

จากนั้นให้คุณพิมพ์คีย์เวิร์ดที่ต้องการ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือเว็บไซต์ของคุณ

ตัวอย่างเช่น

  • ประเภทของสินค้าหรือบริการที่คุณขาย (เช่น “โปรแกรม___ “)
  • เป้าหมาย ปัญหา หรือคำถามทั่วไปที่ลูกค้าของคุณมี (เช่น “วิธีการ ___”)
  • ชื่อแบรนด์ของคู่แข่งที่เป็นเจ้าใหญ่ที่สุดของคุณ

คุณสามารถป้อนได้มากกว่าหนึ่งคีย์เวิร์ด โดยคั่นด้วยเครื่องหมายคอมม่า ( , )

เครื่องมือวางแผนคีย์เวิร์ด - ค้นพบคีย์เวิร์ดใหม่ๆ

จากนั้นกดปุ่ม “ดูผลลัพธ์”

อีกวิธีหนึ่ง คุณสามารถให้ Google ดึงคีย์เวิร์ดจากคู่แข่งของคุณโดยเลือก “เริ่มต้นด้วยเว็บไซต์” และป้อน URL ของคู่แข่ง :

ให้ Google ดึงคีย์เวิร์ดจากคู่แข่ง

ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด เครื่องมือวางแผนคีย์เวิร์ดจะนำเสนอรายการคีย์เวิร์ดและข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับแต่ละรายการ

สองปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ต้องพิจารณาคือ

  • จำนวนการค้นหาเฉลี่ยต่อเดือน
  • CPC เฉลี่ย (ต้นทุนต่อคลิก)

จำนวนเฉลี่ยของ การค้นหารายเดือน แสดงปริมาณการค้นหาของคีย์เวิร์ดแต่ละคำ :

หากคุณติดอันดับผลการค้นหา 5 อันดับแรกสำหรับคีย์เวิร์ดใดก็ตาม ส่วนมากจะมีการคลิกไปที่เว็บไซต์ประมาณ 9% ถึง 32% ของการค้นหา

CPC เฉลี่ย จะมีประโยชน์ในการดูว่าคีย์เวิร์ดมีมูลค่าเท่าใด และคีย์เวิร์ดนั้นอาจเหมาะสมกับการตลาดของคุณ

ขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจและคีย์เวิร์ด ซึ่งธุรกิจมีการใช้จ่ายตั้งแต่ถูกๆ ไปจนถึงหลายสิบดอลล่าต่อคลิกเลยทีเดียว

ยิ่งผู้โฆษณายินดีจ่ายต่อคลิกสำหรับคีย์เวิร์ดนั้น มากเท่าใด คีย์เวิร์ดนั้นก็จะยิ่งมีกำไรมากขึ้นเท่านั้น

… และคีย์เวิร์ดนั้นก็จะยิ่งใกล้กับจุดต่ำสุดของ Marketing Funnel มากเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม Google ไม่ได้ให้ตัวเลข “CPC เฉลี่ย” แค่เลขเดียวอีกต่อไป

คุณจะเห็นตัวเลขสองตัว คือ ราคาเสนอสำหรับด้านบนของหน้า “ช่วงต่ำ” และ “ช่วงสูง”

ซึ่งเป็นช่วงตัวเลขของผู้ลงโฆษณาที่ยอมจ่าย ระหว่างต่ำสุด กับสูงสุด

ในภาพหน้าจอด้านล่าง คุณจะเห็นว่าผู้โฆษณาจ่ายเงินระหว่าง $0.56 ถึง $1.57 ต่อคลิกสำหรับคีย์เวิร์ด “wordpress hosting godaddy” แต่สำหรับคีย์เวิร์ดคำว่า “ขั้นตอนการเขียนบล็อก” ไม่มีการเสนอราคาเลย

ยิ่งถ้าคีย์เวิร์ดใด มีราคาแพงมาก ก็แสดงว่าน่าจะทำกำไรได้มากกว่า ดังนั้นจึงอยู่ใกล้กับจุดต่ำสุดของ Marketing Funnel ซึ่งในตัวอย่างนี้ก็คือ คำว่า “wordpress hosting godaddy” นั่นเอง

CPC เฉลี่ย (ต้นทุนต่อคลิก)

คุณยังสามารถเห็นได้ว่า “ขั้นตอนการเขียนบล็อก” ได้รับการค้นหาในแต่ละเดือนมากกว่าที่ “wordpress hosting godaddy” คือประมาณ 100-1,000 กับ 10-100 ครั้งต่อเดือน

(ดังนั้น คีย์เวิร์ดที่อยู่บนสุดของ Marketing Funnel จึงมีการค้นหามาก ซึ่งเป็นสิ่งที่เราคาดหวังไว้)

ให้คุณลองทำแบบนี้กับคีย์เวิร์ดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณด้วย

จากนั้นก็ ดาวน์โหลดคีย์เวิร์ด จากเครื่องมือวางแผนคีย์เวิร์ดของ Google เพื่อให้คุณมีรายการสำหรับขั้นตอนต่อไป

ดาวน์โหลดคีย์เวิร์ด จากเครื่องมือวางแผนคีย์เวิร์ดของ Google

#2: ใช้ Google ดูผลลัพธ์จากคีย์เวิร์ดที่ได้

ตอนนี้ เราจะนำคีย์เวิร์ดที่ดีที่สุดของคุณมาค้นหาใน Google

มีสามเหตุผลใหญ่ในการทำเช่นนี้

เหตุผลแรกคือการดูว่าคุณควรสร้างเนื้อหาประเภทใดสำหรับคีย์เวิร์ดแต่ละคำ

ควรเป็นการเปรียบเทียบสินค้าหรือไม่?

บทความประเภทรายการ?

กรณีศึกษา?

คุณอาจมีความคิดบางอย่างอยู่แล้ว

แต่ Google ใช้เงินหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อวิเคราะห์ว่า ผู้คนต้องการอะไร เมื่อค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดที่ระบุ

มันไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็ได้ผลดี 99% แน่นอน

เพียงนำคีย์เวิร์ดของคุณไปค้นหาบน Google ไม่ต้องสนใจส่วนที่เป็นโฆษณา แต่ให้ดูว่าเนื้อหาใดมีอันดับที่ดีในผลการค้นหา

ในตัวอย่างต่อไปนี้สำหรับคีย์เวิร์ด “ขั้นตอนการเขียนบล็อก” คุณสามารถดูผลการค้นหาที่มีอันดับสูงสุดของหน้าแรก ในกรณีนี้ จะเห็นว่าส่วนใหญ่จะเป็นโพ้สแบบรายการเช่น “7 ขั้นตอน…” หรือ “7 วิธี…” เป็นต้น

นำคีย์เวิร์ดของคุณไปค้นหาบน Google

คุณสามารถคลิกเข้าไปในเว็บเหล่านั้นเพื่อดูว่าเนื้อหามีลักษณะอย่างไร

แต่ถึงแม้จะไม่คลิกเข้าไปดู คุณก็สามารถดูได้ว่าเนื้อหาประเภทใด ที่มีอันดับที่ดีสำหรับคีย์เวิร์ดนี้

ผลการค้นหาทั้งหมดในนี้ จะเป็นการแนะนำวิธีการเขียนบล็อกในแต่ละขั้นตอน ซึ่งก็มีคำแนะนำ เป็นข้อๆ หรือแนะนำเป็นทีละขั้นตอน

ซึ่งเนื้อหาแบบนี้อาจเป็นประเภทของเนื้อหาที่คุณควรสร้างสำหรับคีย์เวิร์ดนี้

ผลลัพธ์เหล่านี้ยังบอกได้อีกว่า คีย์เวิร์ดที่ใช้นั้นเหมาะกับเนื้อหาแบบไหน : ทั้งหมดนี้เป็นข้อมูลทั่วไป

เป็นวิธีการทำ ไม่ได้เป็นการเจาะจงสินค้าหรือบริการใดๆ เพื่อโน้มน้าวผู้ซื้อ

ดังนั้น นี่จะต้องไม่ใช่คีย์เวิร์ดส่วนล่างสุดของแผนภูมิ

ซึ่งก่อนหน้านี้เราเห็นแล้วว่าคีย์เวิร์ดคำว่า “ขั้นตอนการเขียนบล็อก” นั้น ไม่มีคนจ่ายเงินเพื่อลงโฆษณาเลย ดังนั้น คีย์เวิร์ดนี้จึงควรที่จะอยู่ด้านบนสุดของ Marketing Funnel นั่นเอง

ผู้ที่ค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดนี้ยังไม่พร้อมที่จะซื้ออะไร แต่อย่างน้อยก็กำลังศึกษาวิธีการหรือขั้นตอนต่างๆ ก่อนการตัดสินใจซื้อในภายหลังก็เป็นไปได้เช่นกัน

ในรายการของแนวคิดคีย์เวิร์ดที่ได้มานั้น ให้สังเกตว่าเนื้อหาประเภทใดที่มีอันดับที่ดีสำหรับคีย์เวิร์ดแต่ละคำที่คุณสนใจ

และไม่ว่าจะเป็นคีย์เวิร์ดที่อยู่บนสุด ตรงกลาง หรือด้านล่างของ Marketing Funnel ก็ตาม

เหตุผลที่สองสำหรับขั้นตอนนี้คือ…

เพื่อให้ได้ไอเดียสำหรับคีย์เวิร์ดมากขึ้น

ในบางครั้ง โดยเฉพาะเวลาค้นหาด้วยภาษาอังกฤษ ก็จะมีส่วนของ “และผู้คนยังถามถึง” ที่ด้านบนของหน้า (หากมี) และ “การค้นหาที่เกี่ยวข้อง” ที่ด้านล่างของหน้า Google ทั้งสองมีประโยชน์มากสำหรับขั้นตอนนี้

นี่เป็นการบอกเราเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งที่ Google คิดว่า คีย์เวิร์ดนั้นเกี่ยวกับ อะไรอีกบ้าง

Google Search - ผู้คนยังถามถึง
Google Search - คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง

หากคุณเห็นคีย์เวิร์ดที่น่าสนใจที่คุณยังไม่ได้รวบรวมไว้ ให้นำคีย์เวิร์ดนั้นใส่ลงในเครื่องมือวางแผนคีย์เวิร์ด เพื่อดูรายละเอียด เหมือนขั้นตอนที่ผ่านมา

#3: ตอนนี้คุณต้องใช้ MozBar เพื่อดูความยากของคีย์เวิร์ด

ขั้นตอนนี้ คุณต้องดูว่าคีย์เวิร์ดมีคู่แข่งเยอะแค่ไหน มีความยากแค่ไหน

(จริงอยู่ที่เครื่องมือวางแผนคีย์เวิร์ดของ Google บอกข้อมูลเรื่อง “การแข่งขัน” แต่นั่นเป็นเพียงการแข่งขันด้านโฆษณา ไม่ใช่การแข่งขันด้วย SEO แบบทั่วไป)

บางคนคิดว่าถ้าคุณสามารถสร้างเนื้อหาที่ดีที่สุดในหัวข้อหรือคีย์เวิร์ดหนึ่งๆ ได้ ในที่สุด คุณก็จะได้อันดับ #1 สำหรับเนื้อหานั้น

แต่นั่นไม่ใช่วิธีการของเรา

เพจและเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้ ยิ่งเป็นเว็บใหญ่ๆ แล้วด้วย ยิ่งมีความได้เปรียบอย่างมาก เพราะมีแบ็กลิงค์จำนวนมาก และด้วยเหตุนี้ Google จึงจัดอันดับให้สูงกว่าเว็บเล็กๆ

หากหน้า 1 ของ Google เต็มไปด้วยเว็บไซต์ประเภทเหล่านั้น ก็หมายความว่าคุณไม่ควรไปยุ่งกับคีย์เวิร์ดเหล่านั้น

วิธีที่ง่ายที่สุดในการดูว่าคีย์เวิร์ดมีคู่แข่งมากแค่ไหน คือการใช้เครื่องมือที่ชื่อว่า MozBar

เพียงเปิดไปที่ หน้าการติดตั้ง MozBar แล้วคลิกปุ่ม “Download MozBar for free” เพื่อดาวน์โหลด แต่ต้องเป็น Google Chrome จึงจะใช้งานได้

เมื่อติดตั้ง MozBar แล้ว เมื่อคุณค้นหา บน Google คุณจะเห็นว่า PA (Page Authority คือ คุณภาพของหน้าเว็บนั้นๆ) และ DA (Domain Authority คือ คุณภาพของเว็บไซต์ทั้งเว็บ) ของแต่ละหน้าคือเท่าไหร่

บน Google คุณจะเห็นว่า PA (Page Authority คือ คุณภาพของหน้าเว็บนั้นๆ) และ DA (Domain Authority คือ คุณภาพของเว็บไซต์ทั้งเว็บ)

ทั้ง PA และ DA มีค่าสูงสุดคือ 100 ยิ่งเว็บไหนมีค่าสูง แสดงว่า หน้าเว็บนั้นเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว คือคุณจะแย่งอันดับได้ยากมาก

ในสองสิ่งนี้ PA มีความสำคัญมากกว่า เพราะเป็นคะแนนคุณภาพของหน้าเว็บแต่ละหน้า และหน้าไหนที่มี PA สูงมากจะเอาชนะได้ยาก นั่นคือเหตุผลที่ PA เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการประเมินคู่แข่ง

DA จะคล้ายกัน แต่จะเป็นคะแนนสำหรับทั้งเว็บไซต์ ซึ่งเว็บไซต์ที่มี DA สูงจะมีโอกาสได้อันดับได้ง่ายกว่าไซต์ที่มี DA ต่ำ ตัวอย่างเช่น Wikipedia มี DA = 98 ซึ่งทำให้หน้า Wikipedia แทบทุกหน้ายากที่คุณจะแซงขึ้นไปได้

แต่โดยส่วนใหญ่ ตราบใดที่ PA ของหน้านั้นไม่สูงเกินไป คุณก็จะสามารถที่จะแข่งขันและแย่งอันดับมาได้เช่นกัน

และจำไว้ว่า:

คุณไม่จำเป็นต้องเอาชนะทุกเว็บที่คุณเห็นบนหน้าแรกของ Google

คุณต้องเอาชนะ เพียงแค่เว็บใดเว็บหนึ่ง เท่านั้น

เมื่อคุณดูคู่แข่ง ให้มองหา “จุดอ่อน” ที่มี PA และ/หรือ DA ต่ำๆ

จากนั้นเปรียบเทียบคะแนนกับเว็บไซต์ของคุณเอง

คุณสามารถดูคะแนนของคุณเองได้ด้วยด้วย MozBar โดยไปที่หน้าบนเว็บไซต์ของคุณเองแล้วดูคะแนนที่ด้านบนของ MozBar

ดูคะแนนที่ด้านบนของ MozBar

ตราบใดที่หน้าแรกของ Google มีอย่างน้อยหนึ่งหรือสองหน้า ที่มีคะแนน PA ไม่สูงกว่าเนื้อหาของคุณมากนัก คุณก็มีโอกาสในการได้อันดับที่ดีกว่า

มีอีกสิ่งหนึ่งที่ควรพิจารณาเพื่อวิเคราะห์คู่แข่ง :

หากผลลัพธ์ 5 อันดับแรก มีค่า PA สูง แต่เนื้อหาห่วย ไม่ได้มีจุดประสงค์หรือเจตนา ในการค้นหาที่ถูกต้องหรือไม่ชัดเจน คุณอาจจะสามารถแย่งอันดับได้

ก่อนจะไปที่ขั้นตอนต่อไป คุณต้องเข้าใจเกี่ยวกับเจตนาหรือจุดประสงค์ของคีย์เวิร์ดด้วย :

ตัวอย่างเช่น คีย์เวิร์ดที่ส่วนล่างสุดของ Marketing Funnel (ที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้)

ตัวอย่างเช่น คีย์เวิร์ดนี้ “Brooks Adrenaline GTS 19” หมายถึงรองเท้าวิ่งที่ผลิตโดย Brooks

ผู้ที่ค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดนั้นอาจต้องการซื้อรองเท้านั้น หรืออย่างน้อยก็เรียนรู้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับรองเท้านั้น

ซึ่งกรณีนี้ ถือว่าเป็นคีย์เวิร์ดส่วนล่างสุดอย่างแน่นอน (ลูกค้าจะตัดสินใจซื้อแล้ว)

เว็บไซต์ Brooks (หรือเว็บที่จะขายรองเท้า Brooks) จึงใช้คีย์เวิร์ดนี้สำหรับหน้าที่เกี่ยวกับสินค้าซึ่งมีข้อมูลให้อ่านเกี่ยวกับรองเท้านั้น ดูภาพของรองเท้า อ่านรีวิวต่างๆ และสามารถสั่งซื้อรองเท้าได้

นี่คือตัวอย่างเว็บไซต์ Brooks Running และ Amazon :

ตัวอย่างเว็บไซต์ Brooks Running และ Amazon

แต่สมมุติว่า ถ้าคุณจะขายรองเท้า Nike ในกรณีนี้ ถือว่าไม่ใช่คีย์เวิร์ดสำหรับซื้อสินค้า

แต่ถือว่าเป็นคีย์เวิร์ดสำหรับ ส่วนตรงกลาง ของ Marketing Funnel (เพราะคีย์เวิร์ดที่ใช้คือชื่อรองเท้ายี่ห้ออื่นที่คุณไม่ได้ขาย)

คุณอาจจะสร้างเนื้อหาเปรียบเทียบรองเท้า Brooks กับรองเท้า Nike ว่ามีข้อดีข้อเสียต่างกันยังไง แบบนี้เป็นต้น

นี่คือเหตุผลที่บางครั้ง คุณอาจสังเกตเห็นว่า คีย์เวิร์ดที่เป็นชื่อหรือรุ่นสินค้ามักจะมี CPC ต่ำกว่าคีย์เวิร์ดเดียวกันในบางกรณี

ดังนั้น คีย์เวิร์ดที่มีชื่อแบรนด์หรือชื่อสินค้า อาจมีค่า CPC สูงกว่าสำหรับแบรนด์นั้น (หรือสำหรับคนที่ต้องการขาย) แต่ถ้าคนที่ไม่ได้ตั้งใจจะขายสินค้านั้นโดยเฉพาะ คีย์เวิร์ดที่ไม่มีชื่อสินค้าก็อาจจะมีค่า CPC สูงกว่าได้เช่นกัน

ขั้นตอนที่ 2: ประเมินเนื้อหาที่คุณมีอยู่แล้ว

ก่อนที่จะสร้างเนื้อหาใหม่ๆ จำนวนมาก ให้พิจารณาสิ่งที่คุณมีอยู่แล้ว

มีโอกาสดีที่คุณจะปรับแต่ง งานที่มีอยู่ของคุณ เพื่อช่วยสร้างแกนหลักของช่องทางการตลาด Content Marketing ของคุณ

พิจารณาว่าเนื้อหาใดได้มีการกำหนดเป้าหมายคีย์เวิร์ด หรือหัวข้อที่เกี่ยวข้อง คุณอาจแก้ไข ปรับปรุงใหม่ หรือขยายความให้ดีขึ้นได้

จากนั้นทำตามขั้นตอนที่เหลือในคู่มือนี้เพื่อปรับให้เหมาะสมเพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

ขั้นตอนที่ 3: สรุปช่องทางการตลาดของคุณ

ในโลกแห่งความเป็นจริง มีหลายวิธีที่คุณอาจปิดการขายได้

คนที่ได้ยินเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของคุณจากเพื่อน อาจไปสั่งซื้อโดยตรงก็ได้

ในขณะที่คนที่ได้ยินชื่อเสียงของคุณ อาจใช้ Google ค้นหาคุณและใช้ Facebook เพื่อติดตามคุณเป็นเวลาหลายเดือนก่อนที่จะติดต่อซื้อสินค้า

อย่าพยายามทำทุกอย่าง

ในตอนนี้ ให้เน้นที่การสร้างเส้นทางเดียวที่เหมาะสม เพื่อให้ผู้คนสังเกตเห็นคุณ ไว้วางใจคุณ และซื้อสินค้าจากคุณ

เริ่มต้นด้วยการทำโครงร่างง่ายๆ

เพียงเขียนพื้นฐานว่าแต่ละขั้นตอนของการตลาดเป็นอย่างไร

หากคุณต้องการเน้น SEO เพียงอย่างเดียว อาจเป็นคีย์เวิร์ดสามคำจากที่ได้รวบรวมไว้แล้ว (ซึ่งมาจาก Marketing Funnel ด้านบน ตรงกลาง และด้านล่าง)

ตัวอย่างเช่น:

ด้านบนของแผนภูมิ คือ การรับรู้ : จุดประสงค์ของคีย์เวิร์ดส่วนนี้ ควรเป็นบทความแนะนำเบื้องต้นเช่น “ขั้นตอนการสร้างบล็อก”

ตรงกลาง คือ ความสนใจ : จุดประสงค์ของคีย์เวิร์ดส่วนนี้ ควรเป็นการเปรียบเทียบ เช่น “เขียนบล็อกที่ไหนดี”

ด้านล่างของแผนภูมิ คือ ความต้องการ และการกระทำ หรือ ตัดสินใจซื้อ : ยกตัวอย่างเช่น “wordpress hosting godaddy”

หรือคุณสามารถใช้ SEO เฉพาะ ส่วนบนสุด ของ Marketing Funnel และใช้การตลาดอื่นๆ สำหรับส่วนต่อๆ ไปก็ได้เช่นกัน :

ยกตัวอย่างเช่น

การสร้างการรับรู้ : ให้คุณใช้บทความสำหรับข้อมูลทั่วไปเช่น “การวิ่งมาราธอน”

สำหรับส่วนของ ความสนใจ : คุณอาจจะใช้อีเมล์เกี่ยวกับวิธีการฝึกหรือเตรียมพร้อมร่างกายสำหรับการวิ่งมาราธอน เป็นตอนๆ เช่น 5 วัน วันละตอน ซึ่งส่งอีเมล์ไป วันนะฉบับ

ส่วนของการตัดสินใจซื้อ : คุณอาจจะส่งอีเมล์เสนอส่วนลดสำหรับรองเท้าวิ่ง Brooks Adrenaline ซึ่งเป็นส่วนสุดท้ายของชุดอีเมล์ของวิธีการฝึกหรือเตรียมพร้อมร่างกายสำหรับการวิ่งมาราธอน

(จำไว้ว่าให้คุณทำเหมือนกับกำลังพาคนไปเที่ยว)

คุณสามารถให้เนื้อหาหนึ่งอัน ทำหน้าที่สองครั้งได้

ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ที่ให้บริการเครื่องมือ SEO (Ahrefs) มีบล็อกที่ให้ความรู้มากมายซึ่งได้รับการเข้าชมจำนวนมากจาก Google

และในแต่ละบทความของ Ahrefs มักจะทำหน้าที่สองอย่าง :

ก) มีการตอบคำถามหรือให้ความรู้อย่างละเอียดโดยมีการใช้คีย์เวิร์ดในการกำหนดเป้าหมายที่ถูกต้องเหมาะสม

ข) ภายในบทความมักจะพูดถึงสินค้าของตนเอง โดย มักจะมีภาพหน้าจอการใช้งานเครื่องมือที่ให้บริการ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จะมีการพูดถึงวิธีใช้สินค้าของตนในลักษณะที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่กำลังพูดถึง

แม้ว่าคีย์เวิร์ดที่พวกเขากำลังจัดอันดับจะเป็นเรื่องทั่วไป

ตัวอย่างที่ดีคือ หน้านี้ ซึ่งได้รับการเข้าชมส่วนใหญ่จากคีย์เวิร์ด “most visited websites” (เว็บไซต์ที่มีคนเข้าชมมากที่สุด)

เว็บไซต์ที่มีผู้เข้าชมมากที่สุด 100 อันดับแรก

ในโพสต์นั้นจะแสดงรายการเว็บไซต์ที่มีผู้เข้าชมมากที่สุด 100 อันดับแรก (ตามปริมาณการค้นหา) จากนั้นก็จะบอกวิธีการใช้เครื่องมือของตนเองว่าทำอย่างไร เพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมว่าเว็บไซต์เหล่านั้นได้รับการเข้าชมมากแค่ไหน

วิธีการใช้เครื่องมือของตนเองว่าทำอย่างไร

แนวทางนี้ครอบคลุมทั้งการรับรู้และความสนใจ (และอาจเป็นความต้องการได้อีกเล็กน้อย) ในเนื้อหาชิ้นเดียวกัน

การทำให้เนื้อหาของคุณครอบคลุมขอบเขตหลายๆ ส่วนนั้นไม่ผิด ตราบใดที่ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติและคุณยังคงให้สิ่งที่ผู้ใช้ต้องการตามจุดประสงค์ของการค้นหา

ต่อไปจะเป็นขั้นตอนของการสร้างเนื้อหาของคุณแล้ว

ไม่ต้องกังวลอะไรมากกับความสมบูรณ์แบบ : คุณสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เพื่อให้เนื้อหาของคุณดีขึ้น

ขั้นตอนที่ 4: สร้างเนื้อหายอดนิยม (การรับรู้)

Marketing Funnel - Awareness (การรับรู้)

เป้าหมายหลักของเนื้อหาส่วนบนสุดของ Marketing Funnel นี้ คือการสร้าง การรับรู้ และได้รับ ความสนใจ จากผู้ที่ค้นหา :

ตอนนี้คุณควรสร้างเนื้อหาที่อย่างน้อยๆ ก็เกี่ยวข้องกับสิ่งที่คุณขาย (ไม่จำเป็นต้องดึงดูดทุกคน แต่ต้องดึงดูดผู้ที่อาจจะมาซื้อ)

การเผยแพร่เนื้อหาในส่วนนี้ยังช่วยเพิ่มความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับผู้ที่รู้อยู่แล้วว่าคุณเป็นใครและสิ่งที่คุณขาย แต่ยังไม่ได้ว่าจะซื้อสินค้าคุณ

ตราบใดที่เนื้อหาของคุณยังคงให้คุณค่ากับคนเหล่านั้น โอกาสที่คนจะซื้อสินค้าคุณก็มากขึ้นแล้ว

ทำไม?

เพราะคุณได้พิสูจน์แล้วว่าคุณมีความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่คุณกำลังพูดถึงอะไร

และคุณได้สร้างความไว้วางใจและความปรารถนาดีขึ้นมากมายอย่างไม่น่าเชื่อ

รูปแบบเนื้อหาที่คุณสามารถนำไปใช้ได้ ก็ได้แก่ บล็อกโพสต์ หรือบทความ, วิดีโอ YouTube, และโซเชียลมีเดีย เป็นต้น

การสร้างเนื้อหาส่วนบนของ Marketing Funnel นั้น :

✅ เพิ่มประสิทธิภาพสำหรับ การเข้าชม แต่คุณต้องแน่ใจว่าเนื้อหา มีคุณค่า ต่อลูกค้าเป้าหมายของคุณ

✅ ขอที่ อยู่อีเมล์ เพื่อให้คุณสามารถสร้างความสัมพันธ์ต่อไปได้

ห้าม มีแต่จะขายสินค้าเพียงอย่างเดียว หรือ รีบขายเกินไป

และเนื่องจากคุณอาจจะต้องอาศัยการค้นหาทั่วๆ ไป สำหรับการเข้าชม อย่างน้อยบางส่วน คำแนะนำที่ดีก็คือ อย่างน้องๆ คุณก็ควรปรับ SEO On page ให้เหมาะสม

ต่อไปนี้คือตัวอย่างเนื้อหาที่ยอดเยี่ยม 2 ตัวอย่าง:

1. นี่คือ คำแนะนำวิธีการ โดย Groove บริษัท ให้บริการด้าน SaaS:

Groove บริษัท ให้บริการด้าน SaaS

อะไรทำให้เนื้อหานี้ยอดเยี่ยม:

  • ให้คำแนะนำ ทีละขั้นตอนในการพัฒนาทักษะการบริการลูกค้า
  • อยู่ในหน้าแรกของ Google สำหรับคีย์เวิร์ด เช่น “how to improve customer service skills” (วิธีพัฒนาทักษะการบริการลูกค้า) และ “customer service techniques” (เทคนิคการบริการลูกค้า) ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้จัดการฝ่ายบริการลูกค้า ซึ่งเป็นลูกค้าในอุดมคติของ Groove อาจจะต้องการค้นหา
  • มีเนื้อหาให้ดาวน์โหลดได้ฟรีเพื่อแลกกับ อีเมล์

2. นี่คือ ซีรีส์วิดีโอ โดยบริษัทซอฟต์แวร์การตลาดด้วยวิดีโอ Wistia :

บริษัทซอฟต์แวร์การตลาดด้วยวิดีโอ Wistia

อะไรทำให้เนื้อหานี้ยอดเยี่ยม:

  • รูปแบบการนำเสนอที่แสนสนุก
  • เนื้อหา (สัมภาษณ์นักการตลาดรายใหญ่) ที่ดึงดูดลูกค้าเป้าหมายของ Wistia : ผู้บริหารการตลาด
  • นำเสนอสินค้าของ Wistia อย่างเป็นธรรมชาติ : ซอฟต์แวร์การตลาดผ่านวิดีโอ

ขั้นตอนที่ 5: สร้างเนื้อหาส่วนกลางของ Marketing Funnel (ความสนใจ)

Marketing Funnel - Interest (ความสนใจ)

เนื้อหาส่วนนี้ควรให้ความรู้เกี่ยวกับปัญหาหรือโอกาสที่คนอาจจะมี และสร้าง ความสนใจ สำหรับสินค้าหรือบริการที่คุณขายเพื่อช่วยแก้ปัญหานั้นๆ

เนื้อหาที่อยู่ตรงกลางของแผนภูมินี้ยังทำให้ลูกค้าเป้าหมายมีความรู้สึก “อบอุ่น” ได้อีกด้วย

ธุรกิจจำนวนมากมีวงจรการขายที่ต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ เดือน หรือหลายปีกว่าจะเสร็จสมบูรณ์ ดังนั้นเนื้อหาส่วนนี้สามารถช่วยให้กลุ่มเป้าหมายนึกถึงคุณได้ ดังนั้นเมื่อพวกเขาพร้อมที่จะซื้อ สินค้าของคุณอาจจะเป็นสินค้าแรกๆ ที่พวกเขานึกถึงก็เป็นได้

อันที่จริง ยิ่งสินค้าหรือบริการของคุณซับซ้อนและมีราคาแพงมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นเท่านั้น ที่จะต้องมีเนื้อหาส่วนกลางและด้านล่างสุดของ Marketing Funnel ที่ต้องเป็นเนื้อหาที่ยอดเยี่ยม

ผู้คนที่ค้นหาเนื้อหาส่วนนี้ มีแนวโน้มที่จะซื้อมากกว่าคนที่ต้องการเนื้อหาส่วนบนสุด ดังนั้นผู้เยี่ยมชมแต่ละคน สำหรับขั้นตอนนี้จึงมีค่ามากกว่ามาก ซึ่งถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง ที่คุณต้องมีการติดตามผล เพื่อที่คุณจะสามารถนำกลุ่มคนเหล่านี้ไปยังด้านล่างของ Marketing Funnel ให้ได้ในภายหลัง

ดังนั้น หากคุณยังไม่ได้ทำอะไรเลย นี่คือเวลาที่เหมาะสมแล้ว ในการขอที่อยู่อีเมล์หรือข้อมูลติดต่ออื่นๆ

ด้วยเหตุผลดังกล่าว สิ่งที่คุณสามารถนำเสนอเพื่อให้ได้รับอีเมล์ของลูกค้า ก็อย่างเช่น เอกสารหรือรายงานที่ให้ดาวน์โหลด, กรณีศึกษา, อีเมล์ที่ให้ความรู้แบบเป็นชุด (ที่พูดถึงก่อนหน้านี้), บทความพิเศษสำหรับสมาชิกเท่านั้น เป็นต้น

เมื่อช่องทางการตลาดเนื้อหาของคุณให้ผลดีแล้ว คุณสามารถเพิ่มเชื้อเพลิงให้กับกองไฟได้ด้วยการโปรโมตเนื้อส่วนนี้ด้วยการโฆษณา เช่น โฆษณา Google หรือโฆษณาบน Facebook (ด้วยการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน)

การสร้างเนื้อหาส่วนกลางของ Marketing Funnel นั้น :

✅ ทำให้ดีเยี่ยมเพื่อให้เกิด ความไว้วางใจ และ มูลค่า แสดงความเชี่ยวชาญหรือความเป็นผู้นำด้านสินค้าของคุณ และสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า

เจาะจง เมื่อคุณให้ความรู้กับผู้ที่มีโอกาสที่จะเป็นลูกค้าเกี่ยวกับปัญหาหรือโอกาสต่างๆ แล้ว นี่เป็นเวลาที่ดีที่จะเริ่มแนะนำ โซลูชัน ที่คุณจะขาย

ใช้ที่อยู่อีเมล์ (หรือข้อมูลติดต่ออื่นๆ) โดยอาจต้องใช้ที่อยู่อีเมล์เพื่อให้อ่านเนื้อหาที่พิเศษมากขึ้น

ต่อไปนี้คือตัวอย่างสองตัวอย่างที่ดี ของเนื้อหาส่วนกลางของแผนภูมิ:

1. นี่คือ รายงาน เกี่ยวกับวิธีที่ร้านอาหารสามารถดึงดูดผู้มารับประทานอาหารได้มากขึ้น เผยแพร่โดยบริษัทซอฟต์แวร์จองร้านอาหาร OpenTable :

บริษัทซอฟต์แวร์จองร้านอาหาร OpenTable

อะไรทำให้เนื้อหานี้ยอดเยี่ยม:

  • ให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่าและไม่ซ้ำใครสำหรับธุรกิจร้านอาหาร
  • ดึงดูดลูกค้าในอุดมคติของ OpenTable ได้อย่างสมบูรณ์แบบ : เจ้าของร้านอาหาร/ผู้จัดการร้านที่ต้องการให้ลูกค้ารับประทานอาหารมากขึ้น (หนึ่งในคำสัญญาของ OpenTable ที่มีต่อร้านอาหารก็คือ สามารถช่วยให้มีลูกค้ามาทานอาหารมากขึ้น)
  • ส่วนที่สามารถเข้าถึงได้โดยให้ที่อยู่อีเมล์และข้อมูลติดต่อของคุณเท่านั้น

2. “3-2-1” ซึ่งเป็นของ James Clear จดหมายข่าวทางอีเมล เกี่ยวกับประสิทธิภาพและการสร้างนิสัยที่ดี :

James Clear จดหมายข่าวทางอีเมล

อะไรทำให้เนื้อหานี้ยอดเยี่ยม:

  • ให้คำแนะนำรายสัปดาห์ เกี่ยวกับการสร้างนิสัยที่ดี
  • บ่อยครั้ง (แต่เป็นธรรมชาติ) อ้างอิงหนังสือขายดีของตัวเองเกี่ยวกับพฤติกรรมการสร้างนิสัยที่ดีและหลักสูตรระดับพรีเมียมในหัวข้อเดียวกัน
  • สร้างความสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องกับผู้คนพร้อมกับกระตุ้นให้เข้าถึงสินค้าของเขาเอง

ขั้นตอนที่ 6: สร้างเนื้อหาส่วนล่างของ Marketing Funnel (ความต้องการและการกระทำ หรือ ตัดสินใจซื้อ)

Marketing Funnel - Desire (ความต้องการ) และ Action (การดำเนินการ หรือ การตัดสินใจซื้อ)

เป้าหมายของเนื้อหาสำหรับส่วนล่างสุดของแผนภูมิ ก็คือ การสร้าง ความต้องการ หรือ ความปรารถนา ที่ทำให้ผู้คน ดำเนินการบางอย่าง หรือ ตัดสินใจซื้อ สินค้าหรือบริการของคุณ

ส่วนนี้มีปริมาณน้อยแต่ให้ผลลัพธ์ที่สูง

เนื้อหาส่วนล่างสุดของ Marketing Funnel มักจะมีความเป็นส่วนตัว สงวนไว้สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มว่าจะซื้อ

การสร้างเนื้อหาส่วนล่างของ Marketing Funnel นั้น :

✅ ต้องทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าสินค้าหรือบริการ มีคุณค่า

✅ มีรีวิวของสิน หรือขอเสนอพิเศษสำหรับทดลองใช้ หรือคำแนะนำในการใช้งาน

✅ ลูกค้าสามารถสั่งซื้อได้ง่าย

นี่คือตัวอย่างเนื้อหาที่ยอดเยี่ยมสำหรับส่วนล่างนี้ 2 ตัวอย่าง :

1. การให้ลูกค้าใช้ฟรี โดย Moz ซึ่งเนื้อหานี้ครอบคลุมทั้ง 3 ส่วนของ Marketing Funnel :

Moz

อะไรทำให้เนื้อหานี้ยอดเยี่ยม:

วิธีการของ Moz ในการนำเสนอเครื่องมือฟรี เป็นการดำเนินการที่สมบูรณ์แบบของโมเดล “freemium” ที่ทดลองแล้วใช้งานได้จริง และขยายไปสู่ทุกระดับทั้ง 3 ส่วน ของ Marketing Funnel

หลักการคือ :

ขั้นตอนที่ 1 : ผู้ที่ค้นหาด้วยคีย์เวิร์ด “SEO tools” (เครื่องมือ SEO) จะพบหน้าเครื่องมือฟรี (ซึ่งเป็นส่วนบนสุด หรือ การรับรู้ นั่นเอง)

ขั้นตอนที่ 2 : ผู้ใช้ลองใช้เครื่องมือโดยไม่จำเป็นต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกสบายใจในการใช้งาน

ขั้นตอนที่ 3 : หลังจากใช้งานไม่กี่ครั้ง ก็จะมีการแจ้งให้สร้างบัญชีฟรี ลงทะเบียนด้วยอีเมล์ (ซึ่งตรงนี้คือ ส่วนตรงกลาง ของ Marketing Funnel )

ขั้นตอนที่ 4 : เมื่อ Moz ได้ข้อมูลอีเมล์แล้ว ลูกค้าคนนั้นก็เริ่มได้รับเนื้อหาผ่านทางอีเมล์ เพื่อสร้างความไว้วางใจและกระชับความสัมพันธ์กับลูกค้าให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

ขั้นตอนที่ 5 : เมื่อถึงขีดจำกัดการใช้งานในบัญชีฟรีแล้ว ก็จะได้รับเชิญให้ลงทะเบียนเพื่อใช้เครื่องมือเวอร์ชั่นเต็ม (ซึ่งก็คือส่วนล่างของ Marketing Funnel ) เมื่อช่วงทดลองใช้ฟรีหมดอายุ ผู้ใช้จะได้รับแจ้งให้ชำระเงินสำหรับเวอร์ชันเต็ม

ด้วยวิธีนี้ Moz จะนำเสนอเครื่องมือเวอร์ชันเต็มและชำระเงินโดยอัตโนมัติ ในช่วงเวลาที่ลูกค้ามักจะซื้อมากที่สุด : เมื่อได้ใช้เครื่องมือฟรีอย่างเต็มที่แล้ว

2. ที่นอนของแคสเปอร์ หน้าสินค้านี้ เป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของส่วนล่างของ Marketing Funnel :

ที่นอนของแคสเปอร์

อะไรทำให้เนื้อหานี้ยอดเยี่ยม :

  • ถ่ายทอดคุณค่าของสินค้าด้วยการแสดงคุณสมบัติและประโยชน์ของสินค้า
  • มีรีวิวของลูกค้าว่าใช้ดีแค่ไหน
  • สั่งซื้อได้ง่าย เพียงไม่กี่ขั้นตอน และจัดการกับปัญหาบางอย่างที่อาจเกิดขึ้นกับลูกค้า เช่น ไม่มีต้นทุน (โดยเสนอเงินเชื่อ 0%) และความเสี่ยง (โดยเสนอนโยบายคืนเงินภายใน 100 วันพร้อมการจัดส่งฟรี)

ขั้นตอนที่ 7 : ทำให้การตลาด Content Marketing ของคุณยอดเยี่ยมมากขึ้น “ความถี่ที่มีประสิทธิภาพ”

จนถึงตอนนี้ คู่มือนี้สอนวิธีการใช้เนื้อแบบครั้งเดียว ให้เหมาะสมเพื่อให้ลูกค้าเห็นบทความของคุณ และเกิดความไว้วางใจคุณ และซื้อสินค้าจากคุณในที่สุด

ซึ่งนี่ก็ยอดเยี่ยมมากแล้ว

แต่ยิ่งคุณมีเนื้อหาแบบนี้มากเท่าไหร่ คุณก็จะสามารถเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้นเท่านั้น

ดังนั้นในขั้นตอนนี้ คุณสามารถเริ่มสร้างเนื้อหาเพิ่มเติมเพื่อให้ลูกค้ามาสู่ช่องทางการตลาดของคุณได้ ไม่ว่าจะเป็นที่ส่วนบน ตรงกลาง หรือส่วนล่าง

อีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญในการทำเช่นนี้คือแนวคิดที่เรียกว่า “ความถี่ที่มีประสิทธิภาพ”

ความถี่ที่มีประสิทธิภาพ คือจำนวนครั้งที่มีคนเห็นเนื้อหาของคุณก่อนที่จะทำการซื้อ

สินค้าและบริการที่แตกต่างกันมีความถี่ที่มีประสิทธิภาพต่างกัน : สำหรับรถยนต์นั้นก็จะสูงกว่าโค้กกระป๋องมาก

หากคุณไม่รู้ว่าความถี่ที่มีประสิทธิภาพของคุณคืออะไร งั้นต้องอ่านต่อ :

นี่คือ 4 วิธีในการทำให้การตลาด Content Marketing ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น :

1) สร้างเนื้อหาเพิ่มขึ้นในแต่ละส่วนของ Marketing Funnel

ยิ่งคุณมีเนื้อหาที่ยอดเยี่ยมไม่ว่าจะเป็น ส่วนบนและตรงกลางของแผนภูมิ ยิ่งมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งดีเท่านั้น

เนื้อหาสร้างการรับรู้มากขึ้น = มีคนใหม่ๆ เข้ามารู้จักคุณมากขึ้น

เนื้อหาสร้างความสนใจมากขึ้น = มีโอกาสมากขึ้นในการทำให้กลุ่มเป้าหมายมาซื้อสินค้ามากขึ้น

2) นำเนื้อหาของคุณกลับมาใช้ใหม่ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น

Marie Forleo มีช่อง YouTube ที่มีคนติดตามมากกว่า 700,000 คน และเป็นหนึ่งในพอดคาสต์สำหรับการพัฒนาตนเองที่ได้รับความนิยมมากที่สุด และเปิดบล็อกขึ้นมาด้วย

เธอทำอย่างไร?

วิธีการก็คือ การนำเนื้อหาของเธอกลับมาใช้ใหม่

เธอเปลี่ยนวิดีโอหลายคลิปของเธอ มาเป็นตอนของพอดคาสต์:

Marie Forleo มีช่อง YouTube ที่มีคนติดตามมากกว่า 700,000 คน

และเธอก็เปลี่ยนข้อความที่ตัดตอนมาจากวิดีโอของเธอ มาเป็นโพสต์ในบล็อกสั้นๆ (พร้อมวิดีโอตัวเต็มที่ฝังไว้ในบล็อกสำหรับทุกคนที่สนใจ)

วิดีโอตัวเต็มที่ฝังไว้สำหรับทุกคนที่สนใจ

(หน้าเว็บจริง)

การนำเนื้อหากลับมาใช้ใหม่เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพน้อยกว่าการสร้างเนื้อหาใหม่ สำหรับทุกแพลตฟอร์ม

แต่มันก็ยังช่วยให้คุณได้พบกับผู้คนที่คุณไม่สามารถเข้าถึงได้

ท้ายที่สุด ต่างคนต่างชอบรูปแบบที่แตกต่างกัน

วิดีโอทำงานได้ดีกว่าสำหรับบางคน ในขณะที่บางคนใช้เวลาในการฟังพอดแคสต์ในรถมากกว่า

นั่นคือสิ่งที่ทำให้ การนำเนื้อหากลับมาใช้ใหม่ เป็นวิธีที่ดีที่สุด ในการขยายการตลาด Content Marketing ของคุณ

สิ่งที่คุณสามารถทำได้ คือ :

เปลี่ยนทวีตของคุณให้เป็นโพสต์บนบล็อก เปลี่ยนโพสต์บนบล็อกของคุณให้เป็นวิดีโอ YouTube และเปลี่ยนวิดีโอของคุณให้เป็นพอดแคสต์และเรื่องราวใน Instagram

3) ใช้เทคนิคการกระจายโดยตรง เพื่อย้ายกลุ่มเป้าหมาย ระหว่างแต่ละช่วงของ Marketing Funnel

งานที่สำคัญที่สุดของการทำ Content Marketing คือการทำให้กลุ่มเป้าหมายมีการเคลื่อนย้ายไปด้านล่างของ Marketing Funnel

คุณอาจมีผู้คนนับสิบล้านคนดูวิดีโอของคุณ แต่คุณจะขายสินค้าได้จากคนที่ย้ายไปยังส่วนถัดไปของ Marketing Funnel เท่านั้น

วิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการย้ายผู้คนไปยังส่วนถัดไป คือ เทคนิคการกระจายเนื้อหาโดยตรง

ความหมายคือ การสะกิดคนที่รู้จักคุณอยู่แล้ว

(ไม่ใช่การหวังแค่จะให้กลุ่มเป้าหมายนั้นกลับมาเอง)

และเครื่องมือที่ดีที่สุดสำหรับวิธีการนี้ คือ อีเมล์

เนื่องจากจะช่วยให้คุณเข้าถึงผู้ที่รู้จักหรือสนใจคุณอยู่แล้ว ดังนั้นอีเมล์ จึงเป็นอาวุธที่ดีที่สุดของคุณสำหรับการ เพิ่มความถี่ที่มีประสิทธิภาพ

ด้วยเหตุนี้ การขอที่อยู่อีเมล์จากส่วนบนและตรงกลางของ Marketing Funnel จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก

แล้วจะทำยังไง?

ต้องมีของแลกเปลี่ยนที่มีค่าสำหรับกลุ่มเป้าหมายของคุณ

คุณอาจจะใช้ การอัปเดทเนื้อหา หรือป๊อปอัป ที่ทำเอาไว้เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับโบนัส หรือข้อมูลที่พิเศษ หรือดาวน์โหลด PDF เพื่อแลกกับที่อยู่อีเมล์ของตนเอง

หรือคุณอาจจะดูตัวอย่างนี้ก็ได้ :

ดาวน์โหลด PDF เพื่อแลกกับที่อยู่อีเมล์

หรือ คลิกที่นี่ เพื่อดูตัวอย่างหน้าเว็บจริง

จากนั้น ให้ส่งเนื้อหาอย่างต่อเนื่องไปยังสมาชิกของคุณโดยตรง จนกระทั่งปิดการขายได้ในที่สุด

4) เพิ่มการกระตุ้นการแชร์หรือการแนะนำ

การทำ Content Marketing ของคุณไม่จำเป็นต้องสิ้นสุดที่ส่วนล่างเท่านั้น

สิ่งที่ดีที่สุด คือการเติบโตอย่างเป็นธรรมชาติ โดยคัดเลือกผู้เยี่ยมชมเพื่อช่วยกระจายข่าวไปยังคนอื่นๆ

ตัวอย่างเช่น การให้สิ่งตอบแทนถ้ามีลูกค้าหรือสมาชิกแนะลูกค้าคนใหม่มาซื้อสินค้าหรือบริการของคุณ

ในทำนองเดียวกัน จดหมายข่าวธุรกิจรายวัน The Hustle จะมีข้อความแจ้งการแชร์ที่ด้านล่างของแต่ละฉบับ ถัดจากคะแนนของคนที่แนะนำคุณเข้ามา

จดหมายข่าวธุรกิจรายวัน The Hustle

( ลิงค์อ้างอิง)

เมื่อผู้คนลงทะเบียนด้วยลิงก์แนะนำของคุณ คุณจะได้รับโบนัส เช่น การเข้ากลุ่ม Facebook ส่วนตัวของ The Hustle หรือ ได้รับอีเมล์รายสัปดาห์พิเศษจาก CEO แบรนด์เสื้อยืด และอื่นๆ

การกระตุ้นให้มีการแชร์หรือบอกต่อสามารถทำได้โดยไม่ต้องมีสิ่งตอบแทนก็ทำได้เช่นกัน

เป็นเวลาหลายปีแล้วที่ Amazon ได้ทำปุ่มสำหรับแชร์ไว้ในทุกหน้าที่มีการยืนยันคำสั่งซื้อ ทำให้ผู้คนจำนวนมากบอกต่อคนอื่น เกี่ยวกับสิ่งที่ตัวเองเพิ่งจะซื้อ :

Amazon ได้ทำปุ่มสำหรับแชร์ไว้ในทุกหน้าที่มีการยืนยันคำสั่งซื้อ

( ลิงค์อ้างอิง)

คุณยังสามารถทำให้ผู้คนแชร์เนื้อหาของคุณ ก่อนที่ จะกลายเป็นลูกค้า ในขณะที่ผู้ใช้ยังอยู่ระหว่างขั้นตอนต่างๆ ของการตลาดของคุณ

คุณสามารถใช้เครื่องมือต่างๆ หรือถ้าเป็น wordpress ก็สามารถใช้ปลั๊กอินต่างๆ ได้ ในการเพิ่มปุ่มแชร์ เพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้แชร์เนื้อหาของคุณมากขึ้น

แม้แต่การขอให้ ผู้อ่าน ผู้ดู หรือผู้ฟัง แชร์เนื้อหาของคุณ ก็อาจส่งผลให้มีคนเข้ามาพบกับสินค้าหรือบริการของคุณมากขึ้นได้

ถึงตาคุณแล้ว

ตอนนี้ผมอยากรู้ว่าคุณคิดอย่างไร?

คุณจะนำเทคนิคต่างๆ ในบทความนี้ไปปรับปรุงการทำ Content Marketing หรือไม่?

หรือคุณจะใช้เทคนิคอะไรก่อน?

สามารถคอมเม้นเพื่อบอกเราได้นะครับ

No Comments

Leave a Comment